KEATHADHAMMABOTHTHAI

nousambath855@gmail.com

เรียบเรียงโดย จงฺกมรกฺขิโต นู สมบัติ keathadhammaboththai.blogspot.com

อ่านเรื่องในคาถาธรรมบท ๓๐๒ เรื่อง บล็กนี้เรียบเรียงโดย ภิกฺขุ จงฺกมรกฺขิโต นู สมบัติ ขออนุโมทนาบุญทุกย่าง ! Email: nousambath855@gmail.com

July 19, 2017

๖.เรื่องปัญจัคคทายกพราหมณ์

Posted by   on Pinterest

เรื่องปัญจัคคทายกพราหมณ์



พระศาสดา  เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน  ทรงปรารภพราหมณ์ชื่อปัญจัคคทายก  ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า  สพฺพโส  นามรูปสฺมึ  เป็นต้น

มีพราหมณ์ผู้หนึ่ง  ปกติจะถวายทานที่เกี่ยวข้องกับข้าวในนา  5 ครั้ง   คือ  ครั้งที่ 1  ให้ทานในตอนเก็บเกี่ยวข้าวเสร็จ  (เขตตัคคะ) ครั้งที่ 2  ให้ทานในตอนขนข้าวเข้าลาน(ขลัคคะ)  ครั้งที่ 3  ให้ทานในตอนนวดข้าว(ขลภัณฑัคคะ)  ครั้งที่ 4  ให้ทานในตอนเอาข้าวสารลงในหม้อข้าว(อุกขลิกัคคะ)  และครั้งที่ 5 ให้ทานในตอนที่คดข้าวใส่ภาชนะ(ปาฏิคคะ)  พราหมณ์ผู้นี้  เมื่อยังไม่ให้แก่ปฏิคาหาหกที่มาขอ  จะไม่ยอมบริโภคอาหาร เพราะเหตุนั้น  เขาจึงมีชื่อว่า  ปัญจัคคทายก(ผู้ให้สิ่งเลิศ 5 ครั้ง)

วันหนึ่ง  พระศาสดาทอดพระเนตรเห็นพราหมณ์และนางพราหมณี   เข้ามาอยู่ในข่ายคือพระญาณของพระองค์  และทรงทราบว่าบุคคลทั้งสองนี้จะได้บรรลุพระอนาคามิผล  ดังนั้น  พระศาสดาจึงได้เสด็จไปประทับยืนอยู่ที่ประตูบ้านของบุคคลทั้งสองนั้น   ขณะนั้นพราหมณ์กำลังรับประทานอาหารอยู่  โดยหันหน้าเข้าข้างในบ้าน  เขาจึงไม่เห็นพระศาสดา   ส่วนนางพราหมณีที่อยู่ใกล้ๆกับพราหมณ์มองเห็นพระศาสดา  แต่กลัวว่าหากพราหมณ์เห็นพระศาสดายืนบิณฑบาตอยู่ที่ประตูบ้าน  ก็จะนำข้าวในจานทั้งหมดไปใส่บาตร  และจะทำให้นางต้องหุงข้าวอีก   นางจึงไปยืนบังอยู่ข้างหลังสามีเพื่อมิให้สามีมองเห็นพระศาสดา  ต่อมานางได้ค่อยๆเดินถอยหลังไปยังจุดที่พระศาสดาประทับยืนอยู่นั้น  และได้ย่อตัวลงกราบทูลด้วยเสียงค่อยๆว่า “นิมนต์โปรดสัตว์ข้างหน้าเถิด    ”  แต่พระศาสดาไม่ยอมเสด็จออกไปจากบ้านนั้น  พระองค์ทรงสั่นพระเศียร  แสดงสัญญาณว่า  เราจักไม่ไป  นางพราหมณีเห็นอากัปกิริยาของพระศาสดา  ก็นึกขันจนกลั้นไม่อยู่  ได้ส่งเสียงหัวเราะอย่างขบขัน  พราหมณ์จึงได้เหลียวหลังกลับมามอง  เห็นพระศาสดา   จึงพูดกับนางพราหมณีว่า “ นางผู้เจริญ  ทำไมหล่อนไม่บอกว่าพระราชบุตรมาประทับยืนอยู่ที่ประตูบ้านเรา  อย่างนี้ทำให้เราเสียหายมาก  หล่อนทำกรรมหนักแล้ว”  ว่าแล้วก็รีบยกภาชนะอาหารที่ตนบริโภคแล้วครึ่งหนึ่ง  ไปใกล้พระศาสดา  แล้วกราบทูลว่า  “ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ  ข้าพระองค์ถวายทานอันเลิศในโอกาสทั้ง 5  แล้วจึงบริโภค   ข้าพระองค์รับประทานอาหารนี้ไปส่วนหนึ่งแล้ว  ยังเหลืออยู่อีกส่วนหนึ่ง  ขอพระองค์ได้โปรดรับอาหารส่วนนี้ของข้าพระองค์เถิด”

พระศาสดาตรัสตอบว่า “ดูก่อนพราหมณ์  ขึ้นชื่อว่าข้าวทุกอย่างสมควรแก่เราทั้งนั้น  ไม่ว่าจะเป็นข้าวที่ยังไม่รับประทาน  ข้าวที่รับประทานไปเป็นบางส่วน  หรือข้าวที่เหลือเดน   ดูก่อนพราหมณ์  เพราะพวกเราเป็นผู้อาศัยอาหารที่ผู้อื่นให้เลี้ยงชีพ  เป็นเช่นกับพวกเปรต”  พราหมณ์มีความประหลาดใจที่ได้ยินพระดำรัสเช่นนี้ของพระศาสดา  และในขณะเดียวกันก็เกิดความปิติยินดีที่พระศาสดายอมรับข้าวของตน  จากนั้น  พราหมณ์ได้ทูลถามพระศาสดาว่า  พระองค์ใช้เกณฑ์อะไรกำหนดบุคคลว่าเป็นภิกษุ  พระศาสดาทรงทราบด้วยพระญาณพิเศษว่าทั้งพราหมณ์และนางพราหมณีได้เรียนรู้ถึงเรื่องของนามและรูปมาแล้วในสมัยพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่ากัสสปะ  ดังนั้น  พระองค์จึงตรัสว่า  “ดูก่อนพราหมณ์  บุคคลผู้ไม่กำหนัด ไม่ข้องอยู่ในนามและรูป  ชื่อว่า  เป็นภิกษุ”

จากนั้น  พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท  พระคาถานี้ว่า

สพฺพโส  นามรูปสฺมึ
ยสส  นตฺถิ  มมายิตํ
อสตา  จ  น  โสจติ
ส  เว  ภิกฺขูติ  วุจฺจติ  ฯ

ความยึดถือในนามรูปว่าเป็นของๆเรา
ไม่มีแก่ผู้ใดโดยประการทั้งปวง
อนึ่ง  ผู้ใด ไม่เศร้าโศก  เพราะนามรูปนั้นไม่มีอยู่
ผู้นั้นแล  เราเรียกว่า ภิกษุ.

เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง  ภรรยาและสามีทั้ง 2  บรรลุอนาคามิผล  พระธรรมเทศฯมีประโยชน์  แม้แก่ชนผู้มาประชุมกัน.

No comments:
Write comments