KEATHADHAMMABOTHTHAI

nousambath855@gmail.com

เรียบเรียงโดย จงฺกมรกฺขิโต นู สมบัติ keathadhammaboththai.blogspot.com

อ่านเรื่องในคาถาธรรมบท ๓๐๒ เรื่อง บล็กนี้เรียบเรียงโดย ภิกฺขุ จงฺกมรกฺขิโต นู สมบัติ ขออนุโมทนาบุญทุกย่าง ! Email: nousambath855@gmail.com

May 12, 2018

อาจารย์ บุต สาวงษ์ สนทนาธรรม กับ แม่สุจินต์ ภาคที่ ๓/๕

Posted by   on Pinterest



อาจารย์ บุต สาวงษ์ สนทนาธรรม กับ แม่สุจินต์ ภาคที่๓/๕

บุต สาวงษ์:   ถามในตัวปัญญาที่กำหนดรู้อุปาทานขันธ์ทุกข์ ในสติปัฏฐาน ๔ กายอยู่ในกาย  การเจริญปัญญาเพื่อกำหนดรู้ คือ มีปัญญากำหนดอุปาทานขันธ์ทุกข์ และมีคำถามว่า การกำหนดรู้เป็นตัวปัญญานี้ ก็เป็นอุปาทานขันธ์ทุกข์ด้วย การเจริญปัญญานี้ก็ชื่อว่า การเจริญสภาพธรรมเป็นทุกข์ด้วย เพราะว่าปัญญาก็จัดอยู่ในอุปาทานขันธ์ทุกข์ด้วย หรืออย่างไรครับ เพราะการเจริญปัญญาเป็นการกำหนดรู้รูปธรรมนามธรรม การกำหนดเป็นปัญญานี้ก็เป็นสภาพธรรม แล้วก็อยู่ในอุปาทานขันธ์ทุกข์ด้วย เพราะฉะนั้นก็เหมือนการเจริญทุกข์ด้วย หรือเป็นอย่างไรครับ

   แม่สุจินต์:   ปัญญามีหลายระดับ ปัญญามีทั้งโลกียปัญญาและโลกุตตรปัญญา ถ้ายังไม่มีนิพพานเป็นอารมณ์ ขณะนั้นก็เป็นปัญญาที่สามารถรู้ลักษณะของสภาพธรรมซึ่งเป็นขันธ์ เป็นอุปาทานขันธ์

    เพราะฉะนั้นตราบใดที่ปัญญายังไม่ถึงระดับโลกุตตระ ก็ยังไม่สามารถดับกิเลสได้เป็นสมุจเฉท

    ปัญญาที่เป็นไปในทาน ในศีล ในสมถภาวนา ไม่สามารถดับกิเลสได้ เพราะฉะนั้นก็ต้องเป็นการอบรมเจริญปัญญา ซึ่งไม่ใช่ขั้นทาน ขั้นศีล ขั้นภาวนา จึงจะเป็นขั้นที่ออกจากสังสารวัฏได้

   บุต สาวงษ:์   เป็นปกติผู้เจริญสติปัฏฐาน บางครั้งก็มีมโนทวารปิดบังปัญจทวาร คือ ปิดบังไม่ให้เห็นสภาพธรรมตามความเป็นจริง บางครั้งก็เป็นมโนทวารปิดบังปัญจทวารด้วย ข้อความนี้เป็นอย่างไรครับ เพื่อผู้ปฏิบัติในสติปัฏฐาน อย่าหลงในสภาพธรรม เชิญคุณแม่ขยายความนี้ครับ

   แม่สุจินต์:   ขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา กำลังเห็น แต่ไม่ได้รู้ความจริงของสภาพธรรมที่ปรากฏ เพราะเห็นคน เห็นสิ่งต่างๆ เพราะฉะนั้นความคิดนึกเรื่องคน เรื่องสิ่งต่างๆ จากสิ่งที่มองเห็นก็ปิดบัง ไม่ให้เห็นความจริงว่า แท้ที่จริงแล้วสภาพธรรมที่ปรากฏสั้นมาก เกิดแล้วก็ดับไป คือ ความคิดนึกทางมโนทวารปิดบังปัญจทวาร

    ทุกคนมีความรู้สึกว่าเห็นตลอดเวลา แท้ที่จริงแล้วมีมโนทวารวิถีเกิดสืบต่อระหว่างจิตที่เห็น จิตที่ได้ยินทางปัญจทวารแต่ละวาระ

    เพราะฉะนั้นพอพูดถึงทางตา  ทุกคนก็รู้ กำลังเห็น ทางหู ทุกคนก็รู้ กำลังได้ยิน  ถ้าเป็นได้กลิ่นดอกไม้หอมๆ ก็เป็นทางจมูก รสอร่อยๆที่ปรากฏหรือไม่อร่อย ก็เป็นรูปที่ปรากฏทางลิ้น ขณะนี้เย็นหรือร้อน อ่อนหรือแข็ง ก็ปรากฏทางกาย แต่ไม่รู้เลยว่า หลังจากทางปัญจทวารวาระหนึ่งวาระใด ทวารหนึ่งทวารใด ดับแล้ว มโนทวารวิถีต้องเกิดสืบต่อทันที หลังจากที่ภวังคจิตคั่นแล้ว

    เพราะฉะนั้นในขณะนี้เองเหมือนกับเห็นแล้วก็ได้ยิน มโนทวารอยู่ที่ไหนไม่ทราบ ในขณะที่ปัญจทวารเกิดดับสืบต่อกันปรากฏ โดยมีมโนทวารคั่น จึงไม่ประจักษ์ลักษณะของมโนทวาร จะรู้ได้เข้าใจได้ก็ขณะที่ไม่มีทางปัญจทวารเกิดเลย แล้วก็มีแต่สภาพคิดนึก ถึงจะเข้าใจว่า ขณะนั้นเป็นมโนทวาร

   บุต สาวงษ:์    สติปัฏฐานอาจจะเป็นไปทางปัญจทวารได้หรือไม่

   แม่สุจินต์:   ขณะนี้มีทางตาและทางหู สติเกิดหรือเปล่าคะ ถ้าสติปัฏฐานเกิด สติปัฏฐานนั้นระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมอะไร

   บุต สาวงษ์:     ในทีนี้คืออยากจะถามว่า สติปัฏฐานอาจจะเป็นไปในปัญจทวารที่เป็นกุศลชวนะอยู่ในทางตา ทางหู ได้หรือไม่ครับ

   แม่สุจินต์:   การเข้าใจ สภาพธรรมขณะนี้มีจริงๆ เพราะฉะนั้นก็สามารถเข้าใจได้ว่า กำลังเห็น มีสิ่งที่ปรากฏและมีจิตที่เห็นในขณะนี้ เป็นสภาพรู้ สติปัฏฐานเกิดหรือเปล่า ไม่ใช่เราพูดเรื่องราว แต่หมายความว่า ต้องมีลักษณะของสภาพธรรมจริงๆ ซึ่งสามารถจะเข้าใจได้ ถ้าจะพูดถึงเรื่องสติปัฏฐานทางปัญจทวาร เกิดได้ไหม ก็ต้องเข้าใจว่า ขณะนี้กำลังเห็นเป็น ๑ ในปัญจทวาร หรือขณะที่กำลังได้ยิน ก็เป็น ๑ ในปัญจทวาร ขณะที่กำลังสิ่งที่กระทบอ่อนหรือแข็ง เย็นหรือร้อน ก็เป็น ๑ ในปัญจทวาร สติปัฏฐานเกิดหรือเปล่า

    เพราะฉะนั้นการฟังธรรมต้องไตร่ตรองสิ่งที่ได้ยินได้ฟังด้วย ไม่ใช่เพียงฟังแล้วก็คิดว่า จะต้องตามสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง แต่ต้องพิจารณาว่า เป็นความจริงหรือไม่ ถ้าสติปัฏฐานเกิดในขณะนี้ สติปัฏฐานจะระลึกรู้อะไร ถ้าสติปัฏฐานไม่เกิด นามธรรมและรูปธรรมเมื่อกี้นี้ก็ดับไปโดยเปล่าประโยชน์ คือ ไม่มีใครรู้ความจริงของสภาพธรรมนั้น

    เพราะฉะนั้นถ้าสติปัฏฐานเกิด ไม่ใช่ระลึกรู้อย่างอื่น แต่ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังมีจริงๆในขณะนี้ทางหนึ่งทางใด

    เพราะฉะนั้นสติปัฏฐานซึ่งเป็นมหากุศลจิตที่เกิดทางมโนทวาร ไม่ใช่พร้อมกับปัญจทวารซึ่งรูปกำลังปรากฏ เมื่อสติปัฏฐานเกิดจึงตามรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏทางหนึ่งทางใด แต่ไม่ใช่ทวารเดียวกัน

    ในขณะที่สติปัฏฐานทางมโนทวารเกิดขึ้นรู้ลักษณะของรูป ก็เป็นการรู้รูปที่ปรากฏทางหนึ่งทางใดในปัญจทวาร ถ้าระลึกรู้นามธรรม ก็นามธรรมซึ่งเกิดดับสืบต่อแล้วยังปรากฏลักษณะของสภาพธรรมนั้นให้ศึกษา ให้เข้าใจถูกว่า นั่นเป็นลักษณะของนามธรรม ไม่ใช่รูปธรรม การเกิดดับสืบต่อของสภาพธรรมเร็วมาก ขณะนี้ที่กำลังเห็น มีใครสามารถบอกได้ว่า ทางปัญจทวารหรือจักขุทวารดับไปแล้ว ภวังค์เกิดคั่นแล้ว มโนทวารก็รู้สิ่งที่ปรากฏทางตาต่อ มีใครสามารถจะแยก ๒ ทวารนี้ได้

    ขณะที่อ่อนหรือแข็งกำลังปรากฏ แล้วสติระลึกลักษณะที่ปรากฏ  มีใครบอกได้ว่า ลักษณะนั้นปรากฏทางทวารไหน เพราะปัญญาที่จะรู้ความต่างของมโนทวารและปัญจทวาร ต้องเป็นวิปัสสนาญาณ

    เพราะฉะนั้นก็จะต้องถามผู้ที่ศึกษาธรรมว่า มหากุศลจิตเกิดได้กี่ทวาร

   บุต สาวงษ:์   ๖ ทวารครับ

   แม่สุจินต์:   ค่ะ คำตอบมีแล้ว ๖ ทวาร เพราะฉะนั้นก็จะรู้ว่า ขณะไหนซึ่งปัญจทวารมีมหากุศลญาณสัมปยุตต์เกิด เพราะว่ารู้ลักษณะของรูปธรรม ขณะใดที่สติปัฏฐานระลึกเพื่อจะเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ขณะนั้นไม่ได้หมายความว่า ไม่มีสภาพธรรมทางปัญจทวาร ทวารหนึ่งทวารใดปรากฏให้รู้ แต่หมายความว่ามโนทวารก็ต้องมี ปัญจทวารก็ต้องมี เมื่อทางมโนทวารค่อยๆเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมขึ้น มหากุศลจิตที่รู้ลักษณะของรูปก็ต้องรู้ชัดเจน โดยสภาพที่มีความเข้าใจถูกในลักษณะของรูปธรรมนั้นด้วย

   บุต สาวงษ์:   ถามว่า การเจริญสติปัฏฐานต้องมีศีลก่อน หรือไม่มีศีลก็เจริญสติปัฏฐานได้ ขอให้คุณแม่ตอบปัญหานี้ให้ชัดเพื่อเกิดความเข้าใจ ไม่มีความสงสัยครับ

   แม่สุจินต์:  มีศีล แต่ไม่มีปัญญา ก็เจริญสติปัฏฐานไม่ได้.




No comments:
Write comments