KEATHADHAMMABOTHTHAI

nousambath855@gmail.com

เรียบเรียงโดย จงฺกมรกฺขิโต นู สมบัติ keathadhammaboththai.blogspot.com

อ่านเรื่องในคาถาธรรมบท ๓๐๒ เรื่อง บล็กนี้เรียบเรียงโดย ภิกฺขุ จงฺกมรกฺขิโต นู สมบัติ ขออนุโมทนาบุญทุกย่าง ! Email: nousambath855@gmail.com

July 17, 2017

๔.เรื่องพระโลฬุทายีเถระ

Posted by   on Pinterest

เรื่องพระโลฬุทายีเถระ



พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน  ทรงปรารภพระโลฬุทายีเถระ  ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า อสชฺฌายมลา มนฺตา  เป็นต้น

พวกอริยสาวก  ในกรุงสาวัตถี  เมื่อถวายทานในเวลาก่อนภัตตกิจของภิกษุทั้งหลายแล้ว  ในเวลาหลังภัตตกิจ  ก็จะนำสิ่งของทั้งหลาย  มีเนยใส  น้ำผึ้ง  น้ำอ้อยและผ้าเป็นต้น ไปวัดพระเชตวัน  แล้วฟังพระธรรมเทศนา  เมื่อเสร็จจากฟังพระธรรมเทศนาแล้ว  ก็เดินทางกลับบ้าน  ขณะเดินอยู่นั้นก็จะกล่าวยกย่องการแสดงธรรมของพระอัครสาวก คือ พระสารีบุตรเถระ และพระมหาโมคคัลลานเถระ  พระอุทายีเถระได้ยินคำกล่าวยกย่องชมเชยการแสดงธรรมพระอัครสาวกทั้งสองเช่นนั้น  ก็กล่าวว่า  นี่แค่ได้ฟังพระธรรมเทศนาของสองพระอัครสาวกก็ยังชื่นชมกันอย่างนี้แล้ว  หากได้ฟังพระธรรมเทศนาของท่านพระโลฬุทายีบ้างจะเป็นอย่างไรบ้างหนอ  เมื่อพวกอริยสาวกทั้งหลายได้ฟังเช่นนั้น  ก็คิดว่าพระโลฬุทายีแสดงธรรมเทศนาเก่งแน่ๆ  จึงได้นิมนต์ท่านให้แสดงธรรมเทศนา  พอถึงวันกำหนดท่านก็ได้ขึ้นนั่งบนธรรมาสน์  ก็เกิดอาการสั่น  จนลืมเรื่องที่จะนำมาเทศน์  ท่านพยายามผลัดผ่อนเลื่อนเวลาเทศน์หลายครั้ง  ตั้งแต่หัวค่ำจนกระทั่งถึงเวลาใกล้รุ่ง แต่ก็เทศน์ไม่ได้  พวกชาวบ้านหมดความอดทน จึงคว้าไม้บ้างก้อนดินบ้างไปขู่คุกคามท่าน  จนท่านกลัวลงจากธรรมาสน์วิ่งหนีไปตกที่หลุมอุจจาระ

เมื่อพระศาสดา  ทรงทราบเรื่องนี้จากภิกษุทั้งหลายแล้ว  จึงตรัสเล่าเรื่องในอดีตชาติของพระโลฬุทายีว่า   เคยเกิดเป็นสุกร  ไปท้าสู้กับพระยาราชสีห์  พอถึงวันจะต่อสู้กัน   สุกรได้ลงไปคลุกตัวในอุจจาระ  พอราชสีห์เห็นเช่นนั้น ก็ได้ยอมแพ้  เพราะทนความเหม็นและความสกปรกของสุกรไม่ได้  และพระศาสดาได้ตรัสบอกว่า  ราชสีห์ในครั้งนั้นก็คือพระสารีบุตรเถระในบัดนี้  ส่วนสุกรในครั้งนั้นก็คือพระโลฬุทายีในบัดนี้

พระศาสดา  ครั้นทรงนำอดีตนิทานมาตรัสจบแล้ว  ตรัสต่อไปว่า “ภิกษุทั้งหลาย  โลฬุทายี  เรียนธรรมมาน้อย  และก็มิได้ท่องบ่นธรรมนั้นด้วย  การเล่าเรียนปริยัติอย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว  ไม่ทำการท่องจำปริยัตินั้น  เป็นมลทินแท้”

จากนั้น  พระศาสดาได้ตรัส  พระธรรมบท  พระคาถานี้ว่า

อสชฺฌายมลา  มนฺตา
อนุฏฺฐานมลา  ฆรา
มลํ  วณฺณสฺส  โกสชฺชํ
ปมาโท  มจฺจุโน  ปทํ ฯ

มนต์ทั้งหลาย  มีอันไม่ท่องบ่นเป็นมลทิน
เรือน  มีความไม่หมั่นเป็นมลทิน
ความเกียจคร้าน  เป็นมลทินของผิวพรรณ
ความประมาทเป็นมลทินของผู้รักษา.

เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง   ชนเป็นอันมาก  บรรลุอริยผลทั้งหลาย  มีโสดาปัตติผลเป็นต้น.

No comments:
Write comments