อาจารย์ บุต สาวงษ์ สนทนาธรรม กับ แม่สุจินต์ ภาคที่๔/๕
บุต สาวงษ์: เป็นคำถามในเรื่องสติปัฏฐาน ในอิริยาปถบรรพ ท่านแสดงอิริยาบถทั้ง ๔ มีการเดิน การยืน การนั่ง การนอน แล้วก็มีคำถามว่า ใครเดิน การเดินของใคร เดินได้เพราะอาศัยอะไร คำถามทั้งหมดนี้เพื่อให้มีสัมมาสติหรืออย่างไรครับ
แม่สุจินต์: เพื่อให้เข้าใจถูกต้อง ถ้าเป็นความคิดว่าเราเดิน ถูกต้องหรือไม่คะ ตอนนี้ไม่มีใครเดิน กำลังนั่ง ถ้าคิดว่าเป็นเราที่นั่ง ถูกต้องหรือเปล่า ถ้าเห็นถูก ไม่ได้หมายความว่าเราคิดเองว่าถูก แต่ต้องมีสภาพธรรมที่ปรากฏ แล้วเราสามารถเห็นถูกในลักษณะของสภาพธรรมนั้น แต่ถ้าไม่มีสภาพธรรมปรากฏ แล้วก็คิดเอาเองว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตน อย่างนั้นจะเป็นเพียงความคิดหรือจะเป็นความรู้จริงๆว่าไม่ใช่เรา ถ้าเป็นเพียงความคิดว่าไม่ใช่เรา ก็ไม่ต้องอาศัยการตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย ก็แค่คิดกันว่าไม่ใช่เราที่กำลังนั่งเท่านั้น
เพราะฉะนั้นการตรัสรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง ก็คือต้องมีลักษณะของสภาพธรรมปรากฏ แล้วไม่เคยรู้ ไม่เคยเข้าใจถูก เห็นว่าสภาพธรรมนั้นเป็นเรา
เพราะฉะนั้นปัญญา ความเห็นถูก จะเริ่มเมื่อได้ฟังพระธรรมที่ทรงแสดงจากการตรัสรู้ลักษณะของสภาพธรรม ให้เข้าใจว่า เป็นสภาพธรรมจริงๆ
ทุกคนยึดถือสภาพของรูปตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าว่าเป็นเรา แม้ว่ารูปนั้นไม่ปรากฏ แต่ก็จำไว้ว่ามีรูป ขณะนี้ทุกคนกำลังจำ เป็นอัตตสัญญา ความจำว่ามีเรา โดยที่ไม่รู้ความจริงว่า การยึดถือรูปที่ตัวว่าเป็นเรานี่ ยึดถือรูปอะไร จะมีใครตอบไหมคะว่า ยึดถือรูปอะไรที่ตัวว่าเป็นเรา
บุต สาวงษ์: รูปทั้งหมดครับ
แม่สุจินต์: รูปทั้งหมดหรือคะ แล้วมีลักษณะอะไรล่ะคะ ถ้าไม่มีลักษณะแล้วจะบอกว่าเป็นรูป ถูกหรือผิด เพราะฉะนั้นต้องมีสภาพธรรมซึ่งปรากฏแล้วไม่รู้ตามความเป็นจริง จึงเข้าใจว่าเป็นเรา เพราะฉะนั้นรูปอะไรที่ปรากฏที่ตัว ที่เข้าใจว่าเป็นเรา เพราะว่ามีรูป ถ้าไม่มีรูป จะว่าเป็นตัวได้ไหมคะ
เพราะฉะนั้นรูปอะไรที่ตัว ยังไม่ได้ตอบ
บุต สาวงษ์: อยู่ในตัวก็มีเย็น มีร้อน มีอ่อน มีแข็ง เป็นต้น
แม่สุจินต์: เพราะฉะนั้นถ้ารูปเย็น หรือร้อน หรืออ่อน หรือแข็งไม่ปรากฏ ขณะนั้นจะรู้ไหมคะว่า แท้ที่จริงแล้วก็เป็นเพียงรูปที่อ่อน เหมือนที่อื่นก็อ่อน รูปที่ร้อน รูปที่อื่นก็ร้อน รูปที่เย็น ที่อื่นก็เย็น เพราะฉะนั้นรูปก็คือรูป เป็นของใคร รูปเกิดมาอย่างไร ดับไปอย่างไร ก็ไม่รู้เลยสักอย่าง
เพราะฉะนั้นปัญญาเป็นสภาพธรรมที่เห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้องในสภาพธรรมที่มีจริงๆ จนกระทั่งละคลายการยึดถือรูปว่าเป็นเรา ถ้าจะกล่าวว่า ปัญญาเห็นถูกในรูป คือ เห็นว่ารูปเป็นรูป ไม่ใช่เรา ก็ต้องมีลักษณะของรูปกำลังปรากฏให้ปัญญาเห็นถูกต้อง
เพราะฉะนั้นรูปหนึ่งรูปใดที่ปรากฏที่ตัว ตามปกติค่ะ การรู้ความจริงของสภาพธรรมไม่ผิดปกติ เพราะว่าขณะนี้ไม่เคยระลึก ไม่เคยรู้ว่า รูปมีลักษณะอย่างไร ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่เราอย่างไร เมื่อได้ฟังพระธรรมแล้วก็รู้ว่า ไม่มีอะไรที่เกิดแล้วไม่ดับ แล้วไม่มีอะไรที่เป็นของเรา ทั้งหมดเป็นอนัตตา ถ้าเข้าใจความจริงอย่างนี้ ก็จะรู้ว่า รูปที่ปรากฏที่ตัวมีลักษณะอย่างไร ขณะนั้นเป็นสติที่กำลังระลึกลักษณะของรูปที่ตัว แล้วก็ค่อยๆมีความเห็นถูก เข้าใจถูกว่า เป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง จนกระทั่งสามารถประจักษ์การเกิดดับของรูป ก็จะประจักษ์แจ้งว่า รูปเกิดแล้วรูปดับ
เพราะฉะนั้นสิ่งใดที่มี แล้วไม่มี ก็จะเป็นของใครไม่ได้ เพราะว่าหมดแล้ว ไม่มีแล้ว ถ้าเป็นปัญญาจริงๆ ก็สามารถรู้จริงในลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงๆ ในขณะนี้
ข้อที่น่าคิดที่ไม่ควรจะลืม คือ ถ้าปัญญาไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ ในขณะนี้แล้ว ปัญญาจะรู้อะไร ถึงแม้ยังไม่ใช่วิปัสสนาญาณ ความจริงเป็นอย่างนี้หรือเปล่า ลองพิจารณาดูค่ะ มีใครว่าจริง หรือมีใครว่าไม่จริงบ้าง
บุต สาวงษ์: จริงเรื่องอะไรครับ
แม่สุจินต์: ที่ว่ามีรูปปรากฏ เฉพาะส่วนที่กระทบสัมผัสเท่านั้น ส่วนอื่นไม่เหลือเลย ทุกคนขณะนี้คงจำไว้ได้ว่า มีทั้งแขน ทั้งขา ทั้งหน้า ทั้งตัว ตรงที่เคยเป็นแขน ถ้าไม่กระทบสัมผัสขณะนี้ มีใครรู้ว่ามีอะไรปรากฏตรงนั้นบ้าง ทั้งศีรษะ คิ้ว ตา จมูก ปาก จริงหรือไม่จริงคะ ต้องพิสูจน์ ต้องพิจารณา แม้ขณะนี้จะเป็นจริงอย่างนี้ ก็ไม่ยอมละการยึดถือที่เคยยึดถือว่ายังมีเราอยู่ วิปัสสนาญาณเป็นการประจักษ์แจ้งความจริงของสภาพธรรมอย่างนี้ตามปกติ แต่ที่ขณะนี้ไม่ใช่วิปัสสนาญาณ แม้ว่าความจริงเป็นอย่างนี้ คือว่าไม่มีอะไรเหลือเลย นอกจากรูปตรงที่ปรากฏเท่านั้น เพราะไม่ได้อบรมเจริญปัญญาที่จะรู้ว่า แท้ที่จริงแล้วก็เป็นลักษณะของรูปที่ปรากฏเมื่อมี เมื่อกระทบสัมผัสเท่านั้นเอง ขณะใดที่ไม่กระทบสัมผัส รูปที่มีปัจจัยเกิดขึ้นก็เกิดแล้วก็ดับอย่างรวดเร็ว โดยที่ไม่ปรากฏเลย
ถ้าเข้าใจความจริงอย่างนี้ เวลาที่สัมมาสติเกิดระลึก ก็จะมีเฉพาะลักษณะของรูปที่ปรากฏตรงที่สติระลึกเท่านั้น เมื่อมีความรู้ความเข้าใจเพิ่มขึ้นในลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม ไม่ว่าจะเป็นทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ก็จะทำให้ค่อยๆคลายความเป็นตัวตนลง
วิปัสสนาญาณที่รู้แจ้งสภาพธรรมก็รู้จริงด้วยปัญญาที่สามารถคลายความเป็นตัวตนได้ เพราะฉะนั้นไม่ต้องทำอะไรเลยที่ผิดปกติ เพราะแม้ขณะนี้ที่เห็นก็ไม่มีใครทำ แต่มีปัจจัยที่จะให้สภาพนี้เกิดขึ้นทำหน้าที่เห็น ขณะนี้ไม่มีตัวตนที่จะทำหน้าที่ของสภาพธรรมหนึ่งสภาพธรรมใดได้เลย เมื่อสภาพธรรมใดมีปัจจัยเกิดขึ้นก็ทำหน้าที่ของสภาพธรรมนั้นๆ ต้องเริ่มเข้าใจให้ถูกต้องว่า ไม่มีเราที่ทำอะไรเลย แต่ว่ามีสภาพธรรมเท่านั้นที่เกิดขึ้น แล้วก็ทำหน้าที่ของสภาพธรรมนั้นๆ
โดยการฟัง ทุกคนเข้าใจว่า เห็นเป็นสภาพธรรมที่มีจริง แล้วเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป ไม่ใช่ของใคร ได้ยินก็เป็นสภาพธรรมอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งก็ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตน เมื่อมีปัจจัยก็เกิดขึ้นได้ยินเสียง บังคับไม่ให้ได้ยินก็ไม่ได้ เมื่อมีปัจจัย ได้ยินต้องเกิด ได้ยินแล้วก็ดับไป ถ้าเข้าใจว่าเป็นสภาพธรรมเพิ่มขึ้นๆ ก็จะไม่มีเรา
เพราะฉะนั้นขณะนี้ก็มีสภาพธรรม เป็นสภาพธรรมทั้งหมด แต่ยังไม่รู้จริงๆว่า เป็นธรรม เพราะฉะนั้นก็ต้องอบรมเจริญปัญญาจนกว่าจะรู้จริงค่ะ
แม่สุจินต์: เพื่อให้เข้าใจถูกต้อง ถ้าเป็นความคิดว่าเราเดิน ถูกต้องหรือไม่คะ ตอนนี้ไม่มีใครเดิน กำลังนั่ง ถ้าคิดว่าเป็นเราที่นั่ง ถูกต้องหรือเปล่า ถ้าเห็นถูก ไม่ได้หมายความว่าเราคิดเองว่าถูก แต่ต้องมีสภาพธรรมที่ปรากฏ แล้วเราสามารถเห็นถูกในลักษณะของสภาพธรรมนั้น แต่ถ้าไม่มีสภาพธรรมปรากฏ แล้วก็คิดเอาเองว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตน อย่างนั้นจะเป็นเพียงความคิดหรือจะเป็นความรู้จริงๆว่าไม่ใช่เรา ถ้าเป็นเพียงความคิดว่าไม่ใช่เรา ก็ไม่ต้องอาศัยการตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย ก็แค่คิดกันว่าไม่ใช่เราที่กำลังนั่งเท่านั้น
เพราะฉะนั้นการตรัสรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง ก็คือต้องมีลักษณะของสภาพธรรมปรากฏ แล้วไม่เคยรู้ ไม่เคยเข้าใจถูก เห็นว่าสภาพธรรมนั้นเป็นเรา
เพราะฉะนั้นปัญญา ความเห็นถูก จะเริ่มเมื่อได้ฟังพระธรรมที่ทรงแสดงจากการตรัสรู้ลักษณะของสภาพธรรม ให้เข้าใจว่า เป็นสภาพธรรมจริงๆ
ทุกคนยึดถือสภาพของรูปตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าว่าเป็นเรา แม้ว่ารูปนั้นไม่ปรากฏ แต่ก็จำไว้ว่ามีรูป ขณะนี้ทุกคนกำลังจำ เป็นอัตตสัญญา ความจำว่ามีเรา โดยที่ไม่รู้ความจริงว่า การยึดถือรูปที่ตัวว่าเป็นเรานี่ ยึดถือรูปอะไร จะมีใครตอบไหมคะว่า ยึดถือรูปอะไรที่ตัวว่าเป็นเรา
บุต สาวงษ์: รูปทั้งหมดครับ
แม่สุจินต์: รูปทั้งหมดหรือคะ แล้วมีลักษณะอะไรล่ะคะ ถ้าไม่มีลักษณะแล้วจะบอกว่าเป็นรูป ถูกหรือผิด เพราะฉะนั้นต้องมีสภาพธรรมซึ่งปรากฏแล้วไม่รู้ตามความเป็นจริง จึงเข้าใจว่าเป็นเรา เพราะฉะนั้นรูปอะไรที่ปรากฏที่ตัว ที่เข้าใจว่าเป็นเรา เพราะว่ามีรูป ถ้าไม่มีรูป จะว่าเป็นตัวได้ไหมคะ
เพราะฉะนั้นรูปอะไรที่ตัว ยังไม่ได้ตอบ
บุต สาวงษ์: อยู่ในตัวก็มีเย็น มีร้อน มีอ่อน มีแข็ง เป็นต้น
แม่สุจินต์: เพราะฉะนั้นถ้ารูปเย็น หรือร้อน หรืออ่อน หรือแข็งไม่ปรากฏ ขณะนั้นจะรู้ไหมคะว่า แท้ที่จริงแล้วก็เป็นเพียงรูปที่อ่อน เหมือนที่อื่นก็อ่อน รูปที่ร้อน รูปที่อื่นก็ร้อน รูปที่เย็น ที่อื่นก็เย็น เพราะฉะนั้นรูปก็คือรูป เป็นของใคร รูปเกิดมาอย่างไร ดับไปอย่างไร ก็ไม่รู้เลยสักอย่าง
เพราะฉะนั้นปัญญาเป็นสภาพธรรมที่เห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้องในสภาพธรรมที่มีจริงๆ จนกระทั่งละคลายการยึดถือรูปว่าเป็นเรา ถ้าจะกล่าวว่า ปัญญาเห็นถูกในรูป คือ เห็นว่ารูปเป็นรูป ไม่ใช่เรา ก็ต้องมีลักษณะของรูปกำลังปรากฏให้ปัญญาเห็นถูกต้อง
เพราะฉะนั้นรูปหนึ่งรูปใดที่ปรากฏที่ตัว ตามปกติค่ะ การรู้ความจริงของสภาพธรรมไม่ผิดปกติ เพราะว่าขณะนี้ไม่เคยระลึก ไม่เคยรู้ว่า รูปมีลักษณะอย่างไร ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่เราอย่างไร เมื่อได้ฟังพระธรรมแล้วก็รู้ว่า ไม่มีอะไรที่เกิดแล้วไม่ดับ แล้วไม่มีอะไรที่เป็นของเรา ทั้งหมดเป็นอนัตตา ถ้าเข้าใจความจริงอย่างนี้ ก็จะรู้ว่า รูปที่ปรากฏที่ตัวมีลักษณะอย่างไร ขณะนั้นเป็นสติที่กำลังระลึกลักษณะของรูปที่ตัว แล้วก็ค่อยๆมีความเห็นถูก เข้าใจถูกว่า เป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง จนกระทั่งสามารถประจักษ์การเกิดดับของรูป ก็จะประจักษ์แจ้งว่า รูปเกิดแล้วรูปดับ
เพราะฉะนั้นสิ่งใดที่มี แล้วไม่มี ก็จะเป็นของใครไม่ได้ เพราะว่าหมดแล้ว ไม่มีแล้ว ถ้าเป็นปัญญาจริงๆ ก็สามารถรู้จริงในลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงๆ ในขณะนี้
ข้อที่น่าคิดที่ไม่ควรจะลืม คือ ถ้าปัญญาไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ ในขณะนี้แล้ว ปัญญาจะรู้อะไร ถึงแม้ยังไม่ใช่วิปัสสนาญาณ ความจริงเป็นอย่างนี้หรือเปล่า ลองพิจารณาดูค่ะ มีใครว่าจริง หรือมีใครว่าไม่จริงบ้าง
บุต สาวงษ์: จริงเรื่องอะไรครับ
แม่สุจินต์: ที่ว่ามีรูปปรากฏ เฉพาะส่วนที่กระทบสัมผัสเท่านั้น ส่วนอื่นไม่เหลือเลย ทุกคนขณะนี้คงจำไว้ได้ว่า มีทั้งแขน ทั้งขา ทั้งหน้า ทั้งตัว ตรงที่เคยเป็นแขน ถ้าไม่กระทบสัมผัสขณะนี้ มีใครรู้ว่ามีอะไรปรากฏตรงนั้นบ้าง ทั้งศีรษะ คิ้ว ตา จมูก ปาก จริงหรือไม่จริงคะ ต้องพิสูจน์ ต้องพิจารณา แม้ขณะนี้จะเป็นจริงอย่างนี้ ก็ไม่ยอมละการยึดถือที่เคยยึดถือว่ายังมีเราอยู่ วิปัสสนาญาณเป็นการประจักษ์แจ้งความจริงของสภาพธรรมอย่างนี้ตามปกติ แต่ที่ขณะนี้ไม่ใช่วิปัสสนาญาณ แม้ว่าความจริงเป็นอย่างนี้ คือว่าไม่มีอะไรเหลือเลย นอกจากรูปตรงที่ปรากฏเท่านั้น เพราะไม่ได้อบรมเจริญปัญญาที่จะรู้ว่า แท้ที่จริงแล้วก็เป็นลักษณะของรูปที่ปรากฏเมื่อมี เมื่อกระทบสัมผัสเท่านั้นเอง ขณะใดที่ไม่กระทบสัมผัส รูปที่มีปัจจัยเกิดขึ้นก็เกิดแล้วก็ดับอย่างรวดเร็ว โดยที่ไม่ปรากฏเลย
ถ้าเข้าใจความจริงอย่างนี้ เวลาที่สัมมาสติเกิดระลึก ก็จะมีเฉพาะลักษณะของรูปที่ปรากฏตรงที่สติระลึกเท่านั้น เมื่อมีความรู้ความเข้าใจเพิ่มขึ้นในลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม ไม่ว่าจะเป็นทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ก็จะทำให้ค่อยๆคลายความเป็นตัวตนลง
วิปัสสนาญาณที่รู้แจ้งสภาพธรรมก็รู้จริงด้วยปัญญาที่สามารถคลายความเป็นตัวตนได้ เพราะฉะนั้นไม่ต้องทำอะไรเลยที่ผิดปกติ เพราะแม้ขณะนี้ที่เห็นก็ไม่มีใครทำ แต่มีปัจจัยที่จะให้สภาพนี้เกิดขึ้นทำหน้าที่เห็น ขณะนี้ไม่มีตัวตนที่จะทำหน้าที่ของสภาพธรรมหนึ่งสภาพธรรมใดได้เลย เมื่อสภาพธรรมใดมีปัจจัยเกิดขึ้นก็ทำหน้าที่ของสภาพธรรมนั้นๆ ต้องเริ่มเข้าใจให้ถูกต้องว่า ไม่มีเราที่ทำอะไรเลย แต่ว่ามีสภาพธรรมเท่านั้นที่เกิดขึ้น แล้วก็ทำหน้าที่ของสภาพธรรมนั้นๆ
โดยการฟัง ทุกคนเข้าใจว่า เห็นเป็นสภาพธรรมที่มีจริง แล้วเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป ไม่ใช่ของใคร ได้ยินก็เป็นสภาพธรรมอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งก็ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตน เมื่อมีปัจจัยก็เกิดขึ้นได้ยินเสียง บังคับไม่ให้ได้ยินก็ไม่ได้ เมื่อมีปัจจัย ได้ยินต้องเกิด ได้ยินแล้วก็ดับไป ถ้าเข้าใจว่าเป็นสภาพธรรมเพิ่มขึ้นๆ ก็จะไม่มีเรา
เพราะฉะนั้นขณะนี้ก็มีสภาพธรรม เป็นสภาพธรรมทั้งหมด แต่ยังไม่รู้จริงๆว่า เป็นธรรม เพราะฉะนั้นก็ต้องอบรมเจริญปัญญาจนกว่าจะรู้จริงค่ะ
This is how my buddy Wesley Virgin's autobiography launches in this SHOCKING and controversial VIDEO.
ReplyDeleteWesley was in the military-and shortly after leaving-he discovered hidden, "SELF MIND CONTROL" tactics that the government and others used to get everything they want.
These are the same SECRETS lots of celebrities (notably those who "come out of nothing") and the greatest business people used to become rich and famous.
You probably know that you use less than 10% of your brain.
That's mostly because the majority of your BRAINPOWER is UNCONSCIOUS.
Perhaps that expression has even occurred IN YOUR very own mind... as it did in my good friend Wesley Virgin's mind around 7 years ago, while driving an unlicensed, trash bucket of a car without a license and $3 on his banking card.
"I'm absolutely frustrated with going through life paycheck to paycheck! Why can't I turn myself successful?"
You've been a part of those those types of thoughts, am I right?
Your own success story is waiting to start. You need to start believing in YOURSELF.
WATCH WESLEY SPEAK NOW