เรื่องพระภาคิไนยสังฆรักขิตเถระ
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ที่วัดพระเชตวัน ปรารภภิกษุชื่อว่าสังฆรักขิตะ ได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถาที่ 37 นี้
ครั้งหนึ่งในกรุงสาวัตถีมีพระเถระรูปหนึ่งชื่อ พระสังฆรักขิตเถระ เมื่อน้องชายของท่านมีบุตรก็ได้ตั้งชื่อบุตรตามชื่อพระพี่ชายว่า ภาคิไนยสังฆรักขิต(หลานของพระสังฆรักขิต) เมื่อหลานของสังฆรักขิตเจริญวัยแล้วก็ได้บรรพชาอุปสมบท ขณะที่พระภิกษุหนุ่มรูปนี้พำนักอยู่ในวัดในชนบทแห่งหนึ่ง ได้ผ้าวัสสาวาสิกสาฎก(ผ้าจำนำพรรษา) มา 2 ผืน ก็ได้ตั้งใจไว้ว่า จะนำผืนหนึ่งไปถวายพระสังฆรักขิตผู้เป็นหลวงลุง ส่วนอีกผืนหนึ่งจะเก็บเอาไว้ใช้เอง
เมื่อออกพรรษาปวารณาแล้ว พระภิกษุหนุ่มนี้ก็ได้เข้าไปกราบพระเถระ แล้วนำผ้าจำนำพรรษาออกถวาย แต่พระเถระได้ปฏิเสธที่จะรับผ้านั้นโดยกล่าวว่าท่านมีจีวรเพียงพอแล้ว แม้ว่าจะขยั้นคะยอให้ท่านรับอย่างไรพระเถระก็ไม่ยอมรับ ภิกษุหนุ่มรู้สึกผิดหวังมากเสียใจมากและคิดว่าเมื่อหลวงลุงไม่ประสงค์ทำการใช้สอยบริขารร่วมกับท่านเช่นนี้ ก็ควรที่ท่านจะลาสิกขาออกไปดำเนินชีวิตเป็นฆราวาสเสียเลย
จากจุดเริ่มต้นนี้เอง ท่านก็มีความคิดที่กระเจิดกระเจิงไปว่า เมื่อลาสิกขาแล้วท่านก็จะเอาผ้านี้ไปขายแล้วเอาเงินที่ได้จากขายไปซื้อแม่แพะ ซึ่งแม่แพะก็จะตกลูกออกมาอย่างรวดเร็ว และในไม่ช้าท่านก็จะมีเงินมีทองพอที่จะแต่งงานได้ ภรรยาของท่านก็จะคลอดบุตรออกมาคนหนึ่ง ท่านก็จะพาภรรยาและบุตรขึ้นเกวียนไปไหว้หลวงลุงที่วัด ในระหว่างทางท่านก็จะบอกภรรยาว่าท่านจะขออุ้มบุตรเอง แต่ภรรยาบอกให้ท่านขับเกวียนส่วนนางจะอุ้มบุตรเอง ท่านก็จะยืนยันว่าตนจะต้องอุ้มบุตรให้ได้ จึงไปยื้อยุดฉุดกระชากบุตรมาจากภรรยา เมื่อยื้อกันไปยื้อกันมาบุตรก็จะพลัดตกลงไปข้างล่าง และถูกล้อเกวียนทับ ท่านก็จะโกรธเอาด้ามปฏักตีภรรยา
ขณะที่นั่งคิดอยู่นั้น ภิกษุหนุ่มกำลังใช้พัดก้านตาลพัดพระเถระอยู่ ก็เลยเผลอใช้พัดก้านตาลนั้นฟาดลงบนศีรษะของพระเถระ พระเถระเป็นพระอรหันต์ล่วงรู้จิตของภิกษุหนุ่ม จึงกล่าวว่า “เธอตีภรรยาของเธอไม่ได้ ทำไมจะต้องมาตีพระเถระชรานี้ด้วยเล่า” พอได้ยินพระเถระพูดเช่นนี้ พระภิกษุหนุ่มก็ตกใจ เกิดความละอายใจ ทิ้งพัดก้านตาล วิ่งหนีไป แต่พวกภิกษุหนุ่มและสามเณรทั้งหลาย ไล่ตามจับตัวมายังสำนักของพระศาสดา เมื่อพระศาสดาทรงทราบเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดแล้ว ก็ได้ตรัสว่า จิตมีความสามารถที่จะคิดถึงวัตถุที่อยู่ห่างไกลออกไป ดังนั้นบุคคลพึงพยายามเพื่อความหลุดพ้นของจิตจากเครื่องผูกคือราคะ โทสะ และโมหะ ให้ได้
จากนั้นพระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถาที่ 37 ว่า
ทูรงฺคมํ เอกจรํ
อสรีรํ คุหาสยํ
เย จิตฺตํ สญฺญเมสฺสนฺติ
โมกฺขนฺติ มารพนฺธนาฯ
จิตขอบท่องเที่ยวไปไกล เที่ยวไปดวงเดียว
ไม่มีร่าง อยู่ในถ้ำคือห้องหัวใจ
ผู้ที่ควบคุมจิตได้
ก็จะพ้นจากบ่วงมาร.
เมื่อพระสัทธรรมเทศนาจบลง พระภาคิไนยสังฆรักขิตเถระ ได้บรรลุพระโสดาปัตติผล ส่วนชนเหล่าอื่นเป็นอันมาก ได้บรรลุพระอริยผลทั้งหลาย มีพระโสดาปัตติผลเป็นต้น พระสัทธรรมเทศนา มีประโยชน์แก่มหาชน.
No comments:
Write comments