บุต สาวงษ์ สนทนาธรรม กับ แม่สุจินต์ ที่ ๑/๕
แม่สุจินต์: สมถภาวนาคือการอบรมจิตให้สงบจากอกุศลมั่นคงขึ้น ผลก็คือสามารถเกิดเป็นพรหมบุคคลได้ แต่ถ้าไม่อบรมเจริญปัญญาที่รู้จักลักษณะของสภาพธรรมในขณะนี้ตามความเป็นจริงก็ไม่มีทางจะถึงนิพพานได้เลย สภาพธรรมกำลังปรากฏแท้ๆ ยังไม่รู้ แล้วจะไปรู้นิพพานได้อย่างไร?
บุต สาวงษ:์ ขอให้คุณแม่ช่วยขยายความคำถาม กามราคะและกามุปาทาน ต่างกันอย่างไรครับ?
แม่สุจินต์: ต่างกันที่อุปาทานเป็นการยึดถือในกามนั้นเอง
บุต สาวงษ์: แล้วกามราคะครับ ?
แม่สุจินต์: ความยินดีพอใจในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ
บุต สาวงษ์: ก็เป็นอุปาทานด้วยใช่ไหมครับ?
แม่สุจินต์: ขณะใดที่มีความยึดมั่น ขณะนั้นก็เป็นอุปาทาน
บุต สาวงษ:์ ถามในวิภวตัณหา ที่แปลว่า ตัณหาที่ปราศจากภพ ทำไมถึงจัดเป็นตัณหาด้วย?
แม่สุจินต์: ข้อความในพระไตรปิฎกแสดงว่า วิภวตัณหา ได้แก่ ความยินดีในความเห็นผิดว่า สูญ
บุต สาวงษ์: คำถามนี้คือในขณะที่มีวิปัสสนา วิปัสสนาที่เป็นโลกียะที่อาจจะทำให้มีวิบากเป็นไปในภพด้วยหรือไม่ครับ?
แม่สุจินต์: ถ้าตราบใดที่ไม่ใช่โลกุตตรภูมิ กุศลนั้นๆก็ยังเป็นปัจจัยให้เกิดภพได้
บุต สาวงษ์: ขอถามถึงธรรมขั้นสูง คือ พระนิพพาน มีอยู่ในคัมภีร์อังคุตตรนิกาย มีพระพุทธพจน์แสดงถึงพระนิพพานเป็นอายตนะ แต่อายตนะนั้นไม่ใช่อากาสานัญจายตนะ เป็นต้น ไม่ใช่เป็นที่ไป ไม่ใช่เป็นที่มา ถามว่า อายตนะนั้นเป็นอายตนะอะไรครับ มีบางท่านก็กล่าวว่า ธัมมายตนะเป็นพระนิพพาน ถูกต้องหรือไม่ครับ?
แม่สุจินต์: สภาพธรรมทุกอย่างเป็นธรรม เพราะฉะนั้นก็แล้วแต่ว่า สภาพธรรมนั้นจะจัดเป็นประเภทใด สำหรับนิพพานเป็นสิ่งที่มีจริง ไม่สามารถจะรู้ได้ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย เพราะฉะนั้นก็เป็นสภาพธรรมที่สามารถรู้ได้ทางใจ จึงเป็นธัมมายตนะ
บุต สาวงษ์: มีคำถามนิดหนึ่ง โลภะ โทสะ โมหะ ทั้ง ๓ นี้ ธรรมใดน่าจะละง่ายกว่ากัน
แม่สุจินต์: ถ้าถามถึง ๓ อย่าง สำหรับพระอนาคามีบุคคลสามารถละโทสะได้ สำหรับโลภะกับโมหะต้องเป็นพระอรหันต์ค่ะ
บุต สาวงษ์: มีสำนักปฏิบัติบางสำนักกล่าวว่า นั่งเป็นรูป รู้ว่านั่งเป็นนาม เป็นอย่างไรครับ?
แม่สุจินต์: ถ้าบอกว่า นั่งเป็นรูป แล้วรูปเป็นอย่างไรคะ?
บุต สาวงษ์: ไม่มีคำตอบ
แม่สุจินต์: ค่ะ ก็ต้องทราบก่อนว่า รูปคืออะไร รูปเป็นอย่างไร รูปมีจริงหรือเปล่า สิ่งที่มีจริงและไม่สามารถรู้อะไรได้เลย ไม่ว่าจะมองเห็นหรือมองไม่เห็น เป็นรูปธรรมทั้งหมด เพราะเหตุว่าไม่สามารถรู้อะไรได้เลย ต้องรู้อย่างนี้ก่อนที่จะพูดว่า นั่งเป็นรูป ก็ต้องรู้ว่า รูปเป็นอย่างไร จะได้ทราบว่า อะไรเป็นรูปบ้าง วันนี้ก็คงจะมีการบ้าน ขณะนี้มีรูปไหมค่ะ?
บุต สาวงษ์: มีครับ
แม่สุจินต์: อะไรบ้างล่ะคะที่เป็นรูป ต้องรู้ก่อน
บุต สาวงษ์: รูปที่กำลังเห็น และอยู่ในกายก็มีการตึง ไหว นี่เป็นรูป
แม่สุจินต์: เสียงเป็นรูปหรือเปล่าคะ
บุต สาวงษ:์ เป็นรูปครับ
แม่สุจินต์: ก็เข้าใจถูกต้องนะคะว่า สิ่งที่มีลักษณะจริงๆที่ปรากฏ แต่ไม่สามารถรู้อะไรได้เลยเป็นรูป ถ้าไม่มีตา จะเห็นรูปไหมค่ะ
บุต สาวงษ์: ไม่เห็นครับ
แม่สุจินต์: ถ้าไม่มีหู ได้ยินเสียงรูปไหมคะ ไม่ใช่เป็นเสียงของรูป แต่เสียงนั่นเองเป็นรูป รูปที่ตาเห็นกับรูปที่หูได้ยิน เหมือนกันไหมค่ะ
บุต สาวงษ์: ไม่เหมือนกันครับ
แม่สุจินต์: ไม่เหมือนกัน ก็มีความเข้าใจที่ถูกต้องว่า รูปมีหลายอย่าง แล้วแต่ละอย่างก็ปรากฏได้แต่ละทาง
บุต สาวงษ์: ตัตตรมัชฌัตตตาและอุเปกขา ทั้ง ๒ นี้ต่างกันอย่างไรครับ และเกี่ยวข้องกับการเจริญสติปัฏฐานหรือไม่ครับ
แม่สุจินต์: ตัตตรมัชฌัตตตาเป็นเจตสิกฝ่ายดี คือเป็นโสภณเจตสิก ลักษณะของตัตตรมัชฌัตตตาก็คือสภาพที่เป็นกลาง ไม่เป็นไปในอกุศลฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเลย ขณะที่เกิดพร้อมกับสภาพธรรมที่เป็นโสภณธรรมอื่นๆ ลักษณะของตัตตรมัชฌัตตตาก็ทำให้เป็นกุศลในขณะนั้น
ตามธรรมดาจิตย่อมตกไปด้วยโลภะบ้าง ด้วยโทสะบ้าง หวั่นไหวไปในสิ่งที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่เป็นกุศล เพราะฉะนั้นเวลาที่ธรรมฝ่ายดีเกิดขึ้น ก็มีตัตตรมัชฌัตตตาเจตสิกเกิดร่วมด้วย ซึ่งขณะนั้นก็เป็นสภาพที่ไม่หวั่นไหว เป็นกลาง จึงเป็นกุศลได้
ความไม่หวั่นไหว ความเป็นกลางของตัตตรมัชฌัตตตาก็มีลักษณะที่เป็นอุเบกขา คือ เหมือนกับการที่วางเฉย
เพราะฉะนั้นคำว่า “อุเบกขา” กว้าง หมายถึงความรู้สึกซึ่งไม่สุข ไม่ทุกข์ก็ได้ ขณะนั้นก็เป็นเวทนาเจตสิก แต่วันหนึ่งๆ ก็เห็นสัตว์ บุคคลที่เป็นทุกข์ เป็นสุขมาก เพราะฉะนั้นถ้าเป็นตัตตรมัชฌัตตตาก็คือว่า วางเฉยด้วยการเข้าใจในเรื่องกรรมของแต่ละสัตว์นั้น
เพราะฉะนั้นเวลาที่รู้สึกเฉยๆ หรือวางเฉย ไม่หวั่นไหว เป็นเวทนาเจตสิกก็ได้ เป็นตัตตรมัชฌัตตตาเจตสิกก็ได้ เป็นปัญญาเจตสิกก็ได้ในการอบรมเจริญวิปัสสนา แต่ต้องเป็นสังขารุเปกขาญาณ
เพราะฉะนั้นก็ให้ทราบว่า สภาพธรรมเกิดร่วมกัน แล้วก็มีหลายระดับ เพราะฉะนั้นเวลาที่สภาพธรรมใดมีหน้าที่อย่างใด ในระดับไหน ก็กระทำหน้าที่ในระดับนั้น.
No comments:
Write comments