เรื่องพระปิลินทวัจฉเถระ
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเวฬุวัน ทรงปรารภพระปิลินทวัจฉเถระ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า อกกฺกสํ เป็นต้น
พระปิลินทวัจฉเถระ ติดนิสัยพูดคำไม่สุภาพกับคนอื่น เช่น พูดว่า “มานี่ คนถ่อย ไปนั่น คนถ่อย” เป็นต้น จะใช้คำว่า “คนถ่อย”นี้ทั้งกับคฤหัสถ์แลละบรรพชิต ภิกษุทั้งหลายได้นำความนี้ขึ้นกราบบังคมพระศาสดาว่า “พระเจ้าข้า ท่านปิลินทวัจฉะ ย่อมเรียกภิกษุด้วยถ้อยคำไม่สุภาพว่า คนถ่อย” พระศาสดารับสั่งให้พระเถระนั้นมาเฝ้า แล้วตรัสถามถึงเรื่องนี้ เมื่อพระเถระยอมรับว่าได้พูดอย่างนั้นจริง พระศาสดาทรงใช้อตีตังสญาณย้อนรำลึกถึงอดีตชาติของพระเถระ ทรงทราบว่าเมื่อ 500 ที่ผ่านมา พระเถระเคยเกิดในวรรณะพราหมณ์มาตลอด ซึ่งพวกพราหมณ์ถือว่าพวกตนมีฐานะสูงส่งกว่าพวกคนวรรณะอื่น คำว่า “คนถ่อย “นี้พระเถระเคยพูดมาจนติดเป็นนิสัย ดังนั้นพระศาสดาจึงตรัสกับภิกษุทั้งหลายว่า พระเถระไม่ได้จงใจที่จะพูดกระทบกระทั่งคนอื่น เพราะปกติแล้วพระขีณาสพจะไม่พูดคำระคายหู หรือคำหยาบใดๆ
จากนั้น พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถานี้ว่า
อกกฺกสํ วิญฺญาปนึ
คิรึ สจฺจํ อุทีรเย
ยาย นาภิสเช กญฺจิ
ตมหํ พฺรูหิ พฺราหฺมณํ ฯ
ผู้ใด พึงกล่าวถ้อยคำอันไม่ระคายหู
อันให้รู้กันได้เป็นคำจริง
อันเป็นเหตุไม่ยังใครๆให้ขัดใจ
เราเรียกผู้นั้นว่า เป็นพราหมณ์.
เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง ชนเป็นอันมาก บรรลุอริผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น.
No comments:
Write comments