เรื่องพระมหาปันถกเถระ
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเวฬุวัน ทรงปรารภพระมหาปันถก ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า ยสฺส ราโค จ เป็นต้น
พระมหาปันถกเถระ เป็นพระอรหันต์แล้ว ในตอนที่น้องชายของท่านที่ชื่อว่าจูฬปันถกเข้ามาบวช พระจูฬปันถกเป็นคนมีปัญญาทึบเพราะในอดีตชาติเคยล้อเลียนพระที่เล่าเรียนไม่เก่งรูปหนึ่ง พระจูฬปันถกไม่สามารถจดจำพระคาถาที่พระมหาปันถกพี่ชายมอบให้ไปท่องแม้จะใช้เวลาท่องอยู่ถึง 4 เดือนก็ตาม พระมหาปันถกรู้สึกผิดหวังกับพระน้องชายเป็นอย่างมากจึงขับไล่ออกไปจากวัดเพราะเป็นคนไม่มีคุณค่าที่จะบวชอยู่ต่อไป “เธอเป็นผู้อาภัพแม้ในพระศาสนา ทั้งเป็นผู้เสื่อมแล้วจากโภคะของคฤหัสถ์ ประโยชน์อะไรของเธอด้วยการอยู่ในวัดนี้ เธอจงออกไปเสียจากวัดนี้” พระมหาปันถกกล่าว แล้วปิดประตู
ภิกษุทั้งหลาย สนทนากันว่า “ท่านทั้งหลาย พระมหาปันถกเถระทำแบบนี้ ชะรอยความโกรธจะยังคงเกิดขึ้นกับพระขีณาสพทั้งหลายได้เป็นแน่”
พระศาสดาเสด็จมา ตรัสถามถึงหัวข้อสนทนานั้น แล้วตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย กิเลสทั้งหลายมีราคะเป็นต้น ย่อมไม่มีแก่พระขีณาสพทั้งหลาย แต่บุตรของเราทำเช่นนั้น เพราะความที่ตนเป็นผู้มุ่งประโยชน์เป็นเป้าหมายสำคัญ และเพราะเป็นผู้มุ่งธรรมเป็นเป้าหมายสำคัญ”
จากนั้น พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถานี้ว่า
ยสฺส ราโค จ โทโส จ
มาโน มกฺโข จ ปาติโต
สาสโปริว อารคฺคา
ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ ฯ
ราคะ โทสะ มานะ และมักขะ
อันผู้ใดให้ตกไปแล้ว
เหมือนเมล็ดพรรณผักกาด
ตกไปจากปลายเหล็กแหลม ฉะนั้น
เราเรียกผู้นั้นว่า เป็นพราหมณ์.
เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง ชนเป็นอันมาก บรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น.
No comments:
Write comments