KEATHADHAMMABOTHTHAI

nousambath855@gmail.com

เรียบเรียงโดย จงฺกมรกฺขิโต นู สมบัติ keathadhammaboththai.blogspot.com

อ่านเรื่องในคาถาธรรมบท ๓๐๒ เรื่อง บล็กนี้เรียบเรียงโดย ภิกฺขุ จงฺกมรกฺขิโต นู สมบัติ ขออนุโมทนาบุญทุกย่าง ! Email: nousambath855@gmail.com

July 15, 2017

๘.เรื่องนางวิสาขา

Posted by   on Pinterest

เรื่องนางวิสาขา



พระศาสดา  เมื่อทรงเข้าไปอาศัยกรุงสาวัตถี ประทับอยู่ที่วัดบุพพาราม ทรงปรารภนางวิสาขา  ตรัสพระธรรมบท พระคาถาที่ 53 นี้

 นางวิสาขา เป็นธิดาของเศรษฐีแห่งภัททิยนคร ชื่อธนัญชัย  และ นางสุมนาเทวี  นางเป็นหลานสาวของเมณฑกเศรษฐี หนึ่งห้ามหาเศรษฐีที่ร่ำรวยมากในอาณาจักรของพระเจ้าพิมพิสาร เมื่อตอนที่นางวิสาขาอายุได้  7 ขวบ พระศาสดาได้เสด็จจาริกมาที่ภัททิยนคร ในครั้งนั้นมหาเศรษฐีเมณฑกะได้พานางวิสาขากับหญิงบริวาร 500 นางไปถวายบังคมพระศาสดา  หลังจากที่ได้ฟังธรรมของพระศาสดาแล้ว  นางวิสาขา พร้อมกับเมณฑกมหาเศรษฐีและหญิงบริวาร 500 นางก็ได้บรรลุพระโสดาปัตติผล

เมื่อนางวิสาขาเจริญวัยได้แต่งงานกับนายปุณณวัฒนะ บุตรชายของมิคารเศรษฐีชาวกรุงสาวัตถี วันหนึ่งขณะที่มิคารเศรษฐีกำลังนั่งรับประทานอาหารอยู่นั้น มีพระภิกษุรูปหนึ่งออกบิณฑบาตไปหยุดยืนอยู่ที่หน้าบ้านของ มิคารเศรษฐี แต่มิคารเศรษฐีทำทีมองไม่เห็นพระภิกษุรูปนั้น  เมื่อนางวิสาขาซึ่งใช้พัดก้านตาลพัดพ่อสามีอยู่นั้น เห็นเข้าจึงกล่าวกับภิกษุรูปนั้นว่า “ข้าแต่ท่านผู้เจริญ  นิมนต์ข้างหน้าเถิดเจ้าข้า  พ่อสามีของดิฉันกำลังบริโภคของเก่า” เมื่อมิคารเศรษฐีได้ยินเช่นนี้ก็โกรธมาก และได้ออกปากขับไล่นางวิสาขาออกจากบ้าน ข้างนางวิสาขาไม่ยอมและก็ได้ให้คนไปเชิญเศรษฐีอาวุโสจำนวน 8 คนที่บิดาของนางวิสาขาส่งมาคอยดูแลและให้คำปรึกษาหารือนางมาพบ เพื่อให้ช่วยตัดสินว่านางมีความผิดหรือไม่   เมื่อเศรษฐี 8 คนมาพร้อมหน้ากันแล้ว มิคารเศรษฐีได้กล่าวว่า “ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังรับประทานข้าวปายาส(ข้าวผสมนม) ในถาดทองคำอยู่นั้น  นางวิสาขาพูดว่า ข้าพเจ้ากำลังรับประทานของสกปรกโสโครก  เพราะความคิดข้อนี้ ข้าพเจ้าจึงออกปากไล่นางออกจากบ้าน”  นางวิสาขาได้อธิบายข้อกล่าวหานี้ว่า “เมื่อดิฉันเห็นพ่อของสามีทำทีไม่สนใจพระภิกษุที่ท่านมาบิณฑบาตยืนอยู่ที่ประตูบ้าน ดิฉันมีความคิดว่าบิดาสามีไม่ยอมทำบุญทำกุศลในชาตินี้  เอาแต่รับประทานผลของกรรมดีในอดีตชาติ ดังนั้นดิฉันจึงกล่าวว่า บิดาสามีของดิฉันบริโภคของเก่า  ท่านทั้งหลายคะ  พวกท่านคิดว่าดิฉันมีความผิดหรือไม่”

ข้างเศรษฐีอาวุโสทั้ง 8 คนได้ตัดสินว่านางวิสาขาไม่มีความผิด จากนั้นนางวิสาขาได้กล่าวว่า นางเป็นผู้มีศรัทธาที่ไม่หวั่นไหวในพระพุทธศาสนา  และนางจะไม่ขออยู่ที่บ้านของมาคารเศรษฐีนี้ซึ่งไม่ต้อนรับพระภิกษุสงฆ์  หากนางไม่ได้รับอนุญาตให้นิมนต์พระภิกษุสงฆ์มาถวายอาหารบิณฑบาตและทานอื่นๆในบ้านนี้  นางก็จะออกจากบ้านนี้ไป  และในที่สุดนางจึงได้รับอนุญาตจากมิคารเศรษฐีให้นิมนต์พระภิกษุสงฆ์มาที่บ้านนี้ได้

ในวันรุ่งขึ้น  พระศาสดาพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ก็ได้รับนิมนต์ไปที่บ้านของนางวิสาขา  เมื่อจะถวายภัตตาหาร นางวิสาขาก็ส่งข่าวไปถึงพ่อสามีให้ไปร่วมถวายด้วยแต่พ่อสามีไม่ไป  เมื่อพระศาสดาและพระภิกษุสงฆ์ฉันภัตตาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว   นางวิสาขาก็ได้ส่งข่าวไปบอกบิดาสามีอีก โดยในครั้งนี้ได้แจ้งไปขอให้บิดาสามีมาร่วมฟังธรรมของพระศาสดาโดยด่วน  บิดาสามีมีความรู้สึกว่าคราวนี้ตนคงจะปฏิเสธนางวิสาขาในครั้งที่สองไม่ได้เสียแล้ว จึงต้องการจะไป  แต่พวกนิครนถ์ที่เป็นอาจารย์เดิมของเศรษฐีไม่ยอมให้ไปฟังพระธรรมเทศนาตรงเบื้องพระพักตร์ของพระศาสดา  แต่ยอมให้ไปนั่งฟังอยู่ข้างหลังม่าน หลังจากได้ฟังธรรมเทศนาของพระศาสดาแล้ว มิคารเศรษฐีก็ได้บรรลุพระโสดาปัตติผล  เศรษฐีรู้สึกขอบคุณลูกสะใภ้ของตนที่ทำให้ได้มีโอกาสได้ฟังธรรมของพระศาสดา  จึงได้ประกาศว่า ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป นางวิสาขาจะอยู่ในฐานะเป็นมารดาของท่านเศรษฐี และด้วยเหตุนี้นางวิสาขาจึงมีชื่ออีกชื่อหนึ่งว่า มิคารมาตา(แปลว่า มารดาของมิคาระ)

นางวิสาขามีบุตรชาย 10 คน และบุตรสาว 10 และบุตรชายและบุตรสาวเหล่านี้แต่ละคนได้ให้กำเนิดแก่ หลานย่าและหลานยายอีกเป็นจำนวนมาก  นางวิสาขามีเครื่องประดับที่มีค่ามากชื่อว่า มหาลดาประสาธน์ ซึ่งเป็นเครื่องประดับที่บิดของนางทำให้เป็นของขวัญในวันแต่งงาน วันหนึ่งนางวิสาขาไปที่วัดพระเชตวันพร้อมกับหญิงรับใช้เมื่อไปถึงที่วัดนางเห็นว่าเครื่องประดับมหาลดาประสาธน์หนักมาก จึงถอดออกใส่ห่อให้หญิงรับใช้เก็บรักษาไว้  แต่พอออกมาจากวัดหญิงรับใช้เกิดลืมห่อเครื่องประดับนั้นไว้ที่วัด  ปกติเมื่อมีสิ่งของที่อุบาสกและอุบาสิกาหลงลืมไว้ในวัด พระศาสดาจะทรงมอบหมายให้พระอานนท์ดูแลรักษาไว้  นางวิสาขาส่งคนรับใช้นั้นกลับไปที่วัดโดยบอกไปว่า “กลับไปดูเครื่องประดับที่ลืมไว้นั้น  หากพระอานนท์ไปพบและเก็บไว้ ก็จงอย่านำเครื่องประดับนั้นกลับมา เราจะบริจาคให้แก่พระอานนท์”  แต่พระอานนท์ไม่ยอมรับของบริจาคชิ้นนี้  ดังนั้นนางวิสาขาจึงได้ตัดสินใจจะขายเครื่องประดับมหาลดาประสาธน์นั้น และให้ดำเนินการนำเครื่องประดับขึ้นรถออกไปป่าวประกาศขาย แต่ก็ไม่มีผู้ใดมีเงินพอที่จะซื้อเครื่องประดับนั้นได้  นางวิสาขาก็จึงซื้อเครื่องประดับนั้นเสียเองในราคา  ๙ โกฏิ  1 แสนกหาปณะ จากนั้นก็นำเงินจำนวนนี้ไปก่อสร้างวัดแห่งหนึ่งที่ด้านตะวันออกของตัวเมือง วัดนี้จึงมีชื่อว่าวัดบุพพาราม(วัดอยู่ทางทิศตะวันออก)

หลังจากที่ได้กระทำพิธีฉลองวัดบุพพารามเรียบร้อยแล้ว นางวิสาขาก็ได้คนในครอบครัวของนางมาประชุมกันทุกคนแล้วได้บอกกับคนเหล่านี้ว่า  ความปรารถนาทุกอย่างของนางได้บรรลุถึงแล้ว และนางไม่มีความประสงค์ในสิ่งใดอีก  แล้วนางก็ได้เปล่งอุทานเป็นคาถาแสดงความปลื้มปีติขณะเดินไปรอบๆวัดบุพพาราม  เมื่อภิกษุทั้งหลายได้ยินเสียงพูดขับร้องพรรณนาความสำเร็จของนาง ก็ได้ไปกราบทูลพระศาสดาว่า นางวิสาขาไม่เหมือนเดิมเสียแล้ว นางได้เดินร้องเพลงไปรอบๆวัด  “พระเจ้าข้า นางคงเป็นบ้าไปแล้วกระมัง” พระภิกษุทูลถามพระศาสดา เมื่อพระศาสดาได้สดับคำทูลถามนี้แล้วก็ได้ตรัสว่า  วันนี้นางวิสาขาบรรลุความปรารถนาทุกอย่างทั้งในอดีตและปัจจุบัน ก็เพราะประสบความสำเร็จในความปรารถนานี้แหละ นางจึงมีความรู้สึกพึงพอใจ  นางได้เดินเปล่งอุทานแสดงถึงความปีติปราโมทย์  นางมิได้เสียจริต   พระศาสดาได้ทรงนำเรื่องในอดีตชาติที่ผ่านมาของนางวิสาขามาทรงเล่าให้ภิกษุทั้งหลาย และได้ตรัสสรุปว่า นางวิสาขามีปกติถวายทานและให้การสนับสนุนการเผยแผ่คำสอนของพระพุทธเจ้าในอดีตมาตลอด  นางมุ่งมั่นกระทำแต่กรรมดี และได้ทำกรรมดีนี้ไว้ในอดีตชาติ เช่นเดียวกับนายช่างดอกไม้ผู้ฉลาดทำพวงดอกไม้จากกองดอกไม้กองโต ฉะนั้น

จากนั้นพระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถาที่ 53 ว่า

ยถาปิ ปุปฺผราสิมฺหา
กยิรา มาลาคุเณ พหู
เอวํ ชาเตน มจฺเจน
กตฺตพฺพํ กุสลํ พหุฯ

นายมาลาการเลือกสรรดอกไม้
มากมายจากกองดอกไม้
มาร้อยเป็นพวงมาลัย ฉันใด
คนเมื่อเกิดมาแล้ว ก็ควรทำแต่กุศลกรรม
ไว้ให้มาก ฉันนั้น.

เมื่อพระสัทธรรมเทศนาจบลง  ชนเป็นอันมาก  ได้บรรลุพระอริยผลทั้หลาย  มีพระโสดาปัตติผลเป็นต้น  พระสัทธรรมเทศนามีประโยชน์แก่มหาชนแล้ว.

No comments:
Write comments