เรื่องปาฏิกาชีวก
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในกรุงสาวัตถี ทรงปรารภอาชีวกชื่อปาฏิกะ ตรัสพระธรรมบท พระคาถาที่ 50 นี้
เศรษฐินีคนหนึ่งในกรุงสาวัตถี รับอาชีวกคนหนึ่งชื่อปาฏิกะมาเป็นบุตรบุญธรรม และคอยเอาใจใส่ดูแลเรื่องความต้องการทั้งหลายของอาชีวกนี้ เมื่อนางเศรษฐินีได้ยินพวกคนบ้านใกล้เรือนเคียงกล่าวสรรเสริญพระคุณของพระพุทธเจ้านางก็อยากไปนิมนต์พระองค์มาถวายทานที่บ้านของนางบ้าง ครั้นเมื่อพระพุทธเจ้าได้เสด็จมาและได้มีการถวายภัตตาหารเรียบร้อยแล้ว ขณะที่พระศาสดาจะทรงอนุโมทนาอยู่นั้น ปาฏิกาชีวกซึ่งอยู่ในห้องถัดไป ได้แสดงความโกรธออกมาอย่างรุนแรง ออกมาด่าว่าและสาปแช่งนางเศรษฐินีที่หันมานับถือพระพุทธเจ้า เมื่อนางเศรษฐินีได้ฟังคำด่าและคำสาปแช่งนั้นก็มีความรู้สึกละอายใจมากจนไม่อาจจะส่งจิตไปตามกระแสแห่งเทศนาได้ พระศาสดาตรัสกะนางไม่ให้สนใจในคำแช่งด่าและคำคุกคามนั้นแต่ให้สนใจเฉพาะเรื่องที่ทำดีหรือไม่ดีของตนเองเท่านั้น ดังสำนวนในบาลีว่า “ไม่ควรระลึกถึงถ้อยคำที่ชนไม่เสมอภาคกันเห็นปานนี้กล่าว การไม่คำนึงถึงถ้อยคำเห็นปานนี้แล้ว ตรวจดูกิจที่ทำแล้วและยังไม่ได้ทำของตนเท่านั้นจึงควร”
จากนั้นพระศาสดา ได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถาที่ 50 ว่า
น ปเรสํ วิโลมานิ
น ปเรสํ กตากตํ
อตฺตนา ว อเวกฺเขยฺย
กตานิ อกตานิ จฯ
ไม่ควรให้ความสนใจในความผิดของผู้อื่น
หรือในสิ่งที่ทำแล้วและยังไม่ทำของคนอื่น
ให้ตรวจดูเฉพาะสิ่งที่ตนทำแล้วละยังไม่ได้ทำเท่านั้น.
เมื่อพระสัทธรรมเทศนาจบลง อุบาสิกาได้บรรลุพระโสดาปัตติผล พระสัทธรรมเทศนา มีประโยชน์แก่มหาชน.
No comments:
Write comments