เรื่องโกสิยเศรษฐีผู้มีความตระหนี่
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในกรุงสาวัตถี ทรงปรารภเศรษฐีชื่อโกสิยะผู้มีความตระหนี่ ได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถาที่ 49 นี้
ในหมู่บ้านสักกระ ใกล้กรุงราชคฤห์ มีเศรษฐีตระหนี่ผู้หนึ่งชื่อ โกสิยะ โกสิยเศรษฐีแม้จะมีสมบัติมากถึง 80 โกฏิ แต่ก็ไม่เคยให้สิ่งใดของตนแก่ใครๆเลย วันหนึ่งเศรษฐีหิวขนมเบื้องมาก แต่ไม่ต้องการจะแบ่งปันขนมเบื้องนี้ให้แก่ใคร จึงชวนภรรยาขึ้นไปทำขนมเบื้องนี้อยู่บนชั้นบนสุดของปราสาท 7 ชั้น ที่ซึ่งไม่มีผู้ใดจะสามารถไปเห็นได้
เช้าในวันนั้น พระศาสดาทรงตรวจดูสัตว์ที่จะได้รับการทรงโปรดด้วยพระญาณพิเศษ ได้ทรงทอดพระเนตรเห็นเศรษฐีและภรรยามาปรากฏอยู่ในข่ายคือพระญาณของพระองค์ และทรงทราบว่าทั้งสองคนจะได้บรรลุพระโสดาปัตติผล ดังนั้นพระศาสดาจึงได้ทรงส่งพระมหาโมคคัลลานเถระไปยังบ้านของเศรษฐี ด้วยพระดำรัสสั่งว่า ให้ทรมานคนทั้งสองให้หายตระหนี่ แล้วพาคนทั้งสองมายังวัดพระเชตวัน ให้ทันเวลาฉันภัตตาหารกลางวัน พระมหาโมคคัลลานะได้ไปที่นั่นด้วยกำลังแห่งฤทธิ์ เมื่อไปถึงแล้วก็ได้ไปยืนอยู่ที่ข้างหน้าต่างปราสาท เศรษฐีเมื่อเห็นพระเถระก็ได้ขอร้องให้ท่านออกกลับไปเสีย แต่พระเถระได้ยืนนิ่งอยู่ที่นั่นโดยไม่พูดไม่จาอะไร
ในที่สุดเศรษฐีได้บอกกับภรรยาว่า “เธอจงทำขมเบื้องชิ้นเล็กๆ ถวายท่านไป” ดังนั้นภรรยาเศรษฐีจึงเอาทัพพีตักแป้งแค่นิดเดียวทอดลงไปในกระทะ แต่ขนมกลับขยายตัวจากชิ้นเล็กๆเป็นแผ่นใหญ่จนเต็มกระทะ เศรษฐีคิดว่าภรรยาคงใส่แป้งไปทอดมากขึ้นจึงใหญ่ขนาดนั้น เศรษฐีจึงเอาทัพพีตักแป้งเพียงนิดเดียวทอดลงไปในกระทะ แต่ขนมเบื้องนั้นก็ยังมีขนาดใหญ่เหมือนเดิม แม้ว่าคนทั้งสองจะพยายามทำให้ขนมเบื้องให้เล็กลงอย่างไรก็ไม่สามารถทำได้สำเร็จ
ในที่สุดเศรษฐีได้ให้ภรรยานำขนมเบื้องชิ้นหนึ่งจากตะกร้าถวายพระเถระ แต่ก็ไม่สามารถดึงออกมาได้เพราะขนมเบื้องทุกชิ้นติดกันหมด ไม่สามารถแยกออกจากกันได้ พอถึงช่วงนี้เศรษฐีหมดความหิวจึงได้ยกขนมเบื้องทั้งตะกร้าถวายพระเถระ พระเถระจึงได้แสดงธรรมแก่คนทั้งสอง โดยกล่าวถึงคุณของพระรัตนตรัยและอานิสงส์ของทาน
จากนั้นก็ได้บอกกับคนทั้งสองด้วยว่า พระศาสดา พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์จำนวน 500 รูปกำลังรออยู่ที่วัดพระเชตวัน ซึ่งอยู่ห่างจากกรุงราชคฤห์ถึง 45 โยชน์ แต่พระเถระได้ใช้กำลังฤทธิ์พาเศรษฐีและภรรยาที่ในมือถือตะกร้าขนมเบื้องมาเฝ้าพระศาสดา คนทั้งสองได้นำตะกร้าขนมเบื้องทูลถวายพระศาสดาและภิกษุสงฆ์ทั้ง 500 รูป เมื่อทรงฉันภัตตาหารเสร็จแล้ว พระศาสดาได้แสดงพระธรรมเทศนาว่าด้วยอานิสงส์ของทาน เมื่อจบพระธรรมเทศนาทั้งเศรษฐีและภรรยาก็ได้บรรลุพระโสดาปัตติผล
ในเวลาเย็นวันรุ่งขึ้น พวกภิกษุประชุมกันในโรงธรรม นั่งกล่าวยกย่องพระมหาโมคคัลลานเถระอยู่ พระศาสดาได้เสด็จมา เมื่อได้สดับคำสนทนานั้นแล้วได้ตรัสว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถึงพวกเธอก็เช่นเดียวกัน จงเที่ยวไปในหมู่บ้านเหมือนกับโมคคลัลลานะ คือรับทานจากชาวบ้าน โดยไม่กระทบกระทั่งศรัทธา ไม่กระทบกระทั่งโภคะ ไม่ให้สกุลชอกช้ำ ไม่เบียดเบียนสกุล เป็นดุจแมลงภู่เคล้าละอองจากดอกไม้โดยไม่ให้ดอกไม้ชอกช้ำ ฉะนั้น”
จากนั้น พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถาที่ 49ว่า
ยถาปิ ภมโร บุปฺผํ
วณฺณคนฺธํ อเหฐยํ
ปเลติ รสมาทาย
เอวํ คาเม มุนี จเรฯ
แมลงผึ้งไม่ทำลายดอกไม้
สีและกลิ่นให้ชอกช้ำ
นำเอารสหวานแล้วโบยบินไป ฉันใด
มุนี(พระ) ก็พึงเที่ยวไปในบ้าน ฉันนั้น.
เมื่อพระสัทธรรมเทศนาจบลง ชนเป็นอันมาก ได้บรรลุพระอริยผลทั้งหลาย มีพระโสดาปัตติผลเป็นต้น.
No comments:
Write comments