เรื่องบุตรเศรษฐีชื่ออุคคเสน
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเวฬุวัน ทรงปรารภอุคคเสน ตรัสพระธรรมเทศฯนี้ว่า มุญฺจ ปุเร เป็นต้น
ในกาลครั้งหนึ่ง คณะแสดงละครเร่ประกอบด้วยนักเต้นรำและนักกายกรรมจำนวน 500 คน ได้ไปเปิดการแสดงอยู่ที่พระลานหลวงในกรุงราชคฤห์ของพระเจ้าพิมพิสารเป็นเวลา 7 วัน ในคณะแสดงละครมีหญิงนักเต้นเยาว์วัยคนหนึ่งเป็นลูกชาวของนักแสดงกายกรรม ได้ขึ้นไปร้องรำทำเพลงอยู่บนปลายไม่ไผ่ยาวๆ นายอุคคเสนซึ่งเป็นบุตรชายของเศรษฐี เกิดหลงรักหญิงนักเต้นคนนี้มาก อยากจะแต่งงานกับนางให้ได้ แม้บิดามารดาจะห้ามอย่างไรก็ไม่ฟัง เมื่อแต่งงานกันแล้ว นายอุคคเสนก็ได้ติดตามคณะละครเร่ไปแสดงตามสถานที่ต่างๆ อุคคเสนเต้นรำเป็นแต่เล่นกายกรรมไม่เป็น จึงไม่เป็นที่ต้องการของคณะละครมากนัก เมื่อคณะละครเร่ได้ร่อนเร่ไปเปิดการแสดงตามที่ต่างๆ อุคคเสนจึงมีหน้าที่เป็นเพียงกุลีขนหีบเสื้อผ้าบ้างเป็นคนขับเกวียนบ้างเท่านั้นเอง
เมื่อกาลเวลาผ่านไป อุคคเสนก็มีบุตรชายคนหนึ่งเกิดกับหญิงนักเต้นสาวคนนี้ หญิงนักเต้นได้พูดหยอกล้อบุตรว่า “ไอ้ลูกของคนเฝ้าเกวียน ไอ้ลูกของคนหาบของ ไอ้ลูกของคนไม่รู้อะไร” อุคคเสนได้ยินคำพูดของภรรยาเช่นนั้น ก็เกิดความเจ็บใจ จึงไปหาพ่อตาซึ่งเป็นนักแสดงกายกรรม ขอให้ช่วยฝึกหัดการแสดงกายกรรมให้ หลังจากได้รับการฝึกฝนได้ไดไม่ถึงปีดี อุคคเสนก็มีความชำนาญในการแสดงกายกรรมเป็นอย่างมาก
จากนั้น อุคคเสนก็ได้กลับไปที่กรุงราชคฤห์ และได้มีการโฆษณาว่าอีก 7 วันนายอุคคเสนจะมาแสดงกายกรรม พอถึงวันที่ 7 เมื่อมีประชาชนมาชุมนุมเพื่อชมการแสดงเป็นจำนวนมาก โดยนายอุคคเสนก็ได้ไปยืนแสดงกายกรรมบนปลายไม้ไผ่สูงถึง 60 ศอก
ในวันนั้นพระศาสดาทรงตรวจดูสัสวโลก ในเวลาใกล้รุ่ง ทรงเห็นอุคคเสนเข้าไปในข่ายคือพระญาณของพระองค์ และเขาจักได้บรรลุพระอรหัตตผล และการบรรลุธรรมจักมีแก่สัตว์จำนวน 8 หมื่น 4 พัน เพราะฟังธรรมจากพระองค์ ในวันรุ่งขึ้น พระองค์ พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ ก็ได้เสด็จไปยังกรุงราชคฤห์ เพื่อบิณฑบาต ซึ่งก็เป็นช่วงพอดีกับที่อุคคเสนกำลังแสดงกายกรรมบนปลายลำไม้ไผ่ พอเห็นพระศาสดาเสด็จมา ผู้ชมการแสดงก็ละสายตาจากการแสดงของนายอุคคเสนมาที่พระศาสดา นายอุคคเสนเห็นเช่นนั้นก็เกิดความเสียใจ นั่งเฉยอยู่บนปลายไม่ไผ่ พระศาสดาได้รับสั่งให้พระโมคคัลลานเถระไปเจรจาให้นายอุคคเสนะดำเนินการแสดงต่อไป เมื่อสิ้นสุดรายการการแสดงแล้ว ได้ตรัสกับเขาว่า “อุคคเสน ธรรมดาบัณฑิต ต้องละความอาลัยรักใคร่ในขันธ์ทั้งหลาย ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบันเสียแล้ว พ้นจากทุกข์ทั้งหลายมีชาติเป็นต้นจึงควร”
จากนั้น พระศาสดาจึงได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถานี้ว่า
มุญฺจ ปุเร มุญฺจ ปจฺฉโต
มชฺเฌ มุญฺจ ภวสฺส ปารคู
สพฺพตฺถ วิมุตฺตมานโส
น ปุน ชาติชรํ อุเปหิสิ ฯ
ท่านจงเปลื้อง(อาลัย) ในก่อนเสีย
จงเปลื้อง(อาลัย) ข้างหลังเสีย
จงเปลื้อง(อาลัย)ในท่ามกลางเสีย
จึงเป็นผู้ถึงฝั่งแห่งภพ
มีใจหลุดพ้นในธรรมทั้งปวง
จะไม่เข้าถึงชาติและชราอีก.
เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง การบรรลุธรรมพิเศษ ได้มีแล้ว แก่ชนเป็นอันมาก.
ฝ่ายอุคคเสน กำลังยืนอยู่ปลายไม่ไผ่ บรรลุพระอรหัตตผล พร้อมปฏิสัมภิทา ได้ลงจากลำไผ่มาสู่ที่ใกล้พระศาสดา ถวายบังคมด้วยเบญจางคประดิษฐ์ ทูลขอพรรพชา พระศาสดาทรงเหยียดพระหัตถ์เบื้องขวา ตรัสกับนายอุคคเสนนั้นว่า “ท่านจงเป็นภิกษุมาเถิด” (ไม่มีคำต่อไปว่า จงประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อทำที่สุดแห่งทุกข์โดยชอบเถิด เพราะท่านเป็นพระอรหันต์มาก่อนบวชแล้ว)
No comments:
Write comments