เรื่องภิกษุว่ายาก
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภภิกษุผู้ว่ายากรูปหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า กุโส ยถา เป็นต้น
ในกาลครั้งหนึ่ง ภิกษุรูปหนึ่ง ดึงหญ้าต้นหนึ่งขาดโดยไม่เจตนา เมื่อเกิดความสงสัยว่าจะเป็นอาบัติหรือไม่ จึงไปถามภิกษุอีกรูปหนึ่ง ซึ่งก็ได้รับคำตอบจากภิกษุหัวดื้อว่ายากรูปนี้ว่า “การดึงต้นหญ้าให้ขาดนี้ เป็นความผิดเล็กๆน้อยๆเท่านั้น แค่ท่านแสดงอาบัติเท่านั้น ก็สามารถพ้นจากอาบัตินี้ได้ ท่านอย่าได้วิตกกังวลไปเลย” พอพูดจบ พระรูปที่อธิบายนั้นก็เอาสองมือถอนหญ้าเพื่อเป็นการพิสูจน์ความคิดของตนเองว่าการถอนหญ้าเป็นความผิดเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ภิกษุทั้งหลายได้นำความขึ้นกราบทูลพระศาสดา พระศาสดาจึงตรัสพระธรรมบท สามพระคาถานี้ว่า
กุโส ยถา ทุคฺคหิโต
หตฺถเมวานุกนฺตติ
สามญฺญํ ทุปฺปรามฏฺฐํ
นิรยายูปกฑฺฒติ ฯ
ยงฺกิญฺจิ สิถิลํ กมฺมํ
สงฺกิลิฏฺฐญฺจ ยํ วตํ
สงฺกสฺสรํ พฺรหฺมจริยํ
น ตํ โหติ มหปฺผลํ ฯ
กยิรา เจ กยิราเถนํ
ทฬฺหเมนํ ปรกฺกเม
สิถิโล หิ ปริพฺพาโช
ภิยฺโย อากิรเต รชํ ฯ
หญ้าคาที่บุคคลจับไม่ดี
ย่อมตามบาดมือนั่นเอง ฉันใด
คุณเครื่องสมณะ ที่บุคคลลูบคลำไม่ดี
ย่อมคร่าเขาไปในนรก ฉันนั้น.
การงานอย่างใดอย่างหนึ่งที่ย่อหย่อน
วัตรใดที่เศร้าหมอง
พรหมจรรย์ที่ระลึกด้วยความรังเกียจ
กรรมทั้ 3 อย่างนี้ ย่อมไม่มีผลมาก.
หากว่าบุคคลพึงทำกรรมใด
ควรทำกรรมนั้นจริง
ควรบากบั่นทำกรรมนั้นให้มั่น
เพราะว่าสมณธรรมเครื่องละเว้นที่ย่อหย่อน
ยิ่งเกลี่ยธุลีลง.
เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง ชนเป็นอันมาก บรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น ภิกษุแม้นั้น ดำรงอยู่ในความสังวรแล้ว ภายหลังเจริญวิปัสสนา บรรลุพระอรหัตตผล.
No comments:
Write comments