เรื่องบุตรเศรษฐีชื่อเขมกะ
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภบุตรเศรษฐีชื่อเขมกะ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า จตฺตาริ ฐานานิ เป็นต้น
นายเขมกะ นอกจากจะมีชาติตระกูลดี ก็ยังเป็นชายหนุ่มรูปหล่อ เป็นที่ถูกตาต้องใจของบรรดาสาวน้อยสาวใหญ่ทั้งหลาย ซึ่งแต่อนงค์นางต่างยินยอมพร้อมใจพลีร่างมีเพศสัมพันธ์กับนายเขมะคนนี้ทั้งนั้น นายเขมกะเองก็ชอบเรื่องแบบนี้ด้วย จึงได้ประกอบกิจกรรมที่เรียกว่า “ปรทารกรรม”(เป็นชู้กับภรรยาของผู้อื่น) อยู่เป็นอาจิณ พวกราชบุรุษเคยจับนายเขมะในข้อหาเป็นชู้กับภรรยาของคนอื่นและนำตัวไปถวายเจ้าปเสนทิโกศลถึง 3 ครั้ง แต่พระราชามีรับสั่งให้ปล่อยตัวไปทุกครั้ง เพราะว่านายเขมะผู้นี้เป็นหลานของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เมื่อท่านเศรษฐีทราบเรื่อง ก็ได้นำตัวนายเขมกะเข้าเฝ้าพระศาสดา และกราบทูลว่า “ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระองค์โปรดแสดงธรรมแก่นายเขมกะนี้”
พระศาสดาทรงแสดง สังเวคกถา (คำที่ชวนให้เกิดความสลดใจ) และเมื่อจะทรงแสดงโทษในการเสพภรรยาของคนอื่น ได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถานี้ว่า
จตฺตาริ ฐานานิ นโร ปมตฺโต
อาปชฺชตี ปรทารูปเสวี
อปุญฺญลาภํ นนิกามเสยฺยํ
นินทํ ตติยํ นิรยํ จตุตฺถํ
อปุญฺญลาโภ จ คตี จ ปาปิกา
ภีตสฺส ภีตาย รตี จ โถกิกา
ราชา จ ทณฺฑํ ครุกํ ปเณติ
ตสฺมา นโร ปรทารํ น เสเว.
นระผู้ประมาท ชอบเสพภรรยาของคนอื่น
ย่อมถึงฐานะ 4 อย่าง คือ
การได้สิ่งที่มิใช่บุญ(เป็นที่ 1)
การนอนไม่ได้ตามความปรารถนา(เป็นที่2)
การนินทาเป็นที่ 3 นรกเป็นที่ 4
ได้สิ่งมิใช่บุญอย่าง 1
คติลามกอย่าง 1
ความยินดีของบุรุษผู้กลัว กับด้วยหญิงผู้กลัว มีประมาณน้อยอย่าง 1
พระราชาย่อมลงอาชญาอันหนักอย่าง 1
เพราะฉะนั้น นระไม่ควรเสพภรรยาของคนอื่น.
เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง นายเขมกะ บรรลุโสดาปัตติผล ตั้งแต่นั้นมา มหาชนนอนตาหลับ.
พระคัมภีร์ยังได้เล่าถึงบุรพกรรมของนายเขมะว่า ในสมัยของพระพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสปะนั้น นายเขมะเป็นนักมวยที่เก่งที่สุด และมีความเข้มแข็งมาก ได้ยกธงทอง 2 แผ่นขึ้นไว้ที่สถูปทองคำของพระกัสสปพุทธเจ้า แล้วตั้งความปรารถนาว่า “เว้นหญิงที่เป็นญาติสาโลหิตเสีย หญิงที่เหลือเห็นเราแล้วจงกำหนัด” (ฐเปตฺวา ญาติสาโลหิติตฺถิโย อวเสสา มํ ทิสฺวา รชนฺตุ ) เพราะฉะนั้น เมื่อเขาไปเกิดในภพชาติใดก็ตาม หญิงคนใดได้เห็นเขาแล้ว หญิงคนนั้นก็จะเกิดความหลงใหลในความมีเสน่ห์ของเขา จนคุมสติคุมอารมณ์อยู่มิได้
(หมายเหตุ คำอธิษฐานของนายเขมกะที่เป็นภาษาบาลีว่า ฐเปตฺวา ญาติสาโลหิติตฺถิโย อวเสสา มํ ทิสฺวา รชนฺตุ (อ่านว่า ถะเปดตะวา ยาติสาโลหิติดถิโย อะวะเสสา มัง ทิดสะหวา ระชันตุ) นี้ได้กลายเป็นมนต์สร้างเสน่ห์วิเศษ ที่พวกหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ที่ต้องการสร้างเสน่ห์ให้แก่ตัวเองนำไปท่องบ่นภาวนา)
No comments:
Write comments