เรื่องนาคราชชื่อเอรกปัตต์
พระศาสดา ทรงอาศัยพระนครพาราณสี ประทับอยู่ที่โคนไม้ซึก 7 ต้น ทรงปรารภพระยานาคชื่อเอรกปัตต์ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า กิจฺโฉ มนุสฺสปฏิลาโภ เป็นต้น
ในกาลครั้งหนึ่ง มีพระยานาคราชนามว่า เอรกปัตต์ ในอดีตชาติ ในศาสนาของพระกัสสปะสัมมาสัมพุทธเจ้า พระยานาคนั้นเป็นภิกษุหนุ่ม ขึ้นเรือไปในแม่น้ำคงคา เอามือยึดตะไคร้น้ำกอหนึ่ง เมื่อเรือแล่นไปโดยเร็วก็ไม่ปล่อย ใบตระไคร้น้ำขาด ภิกษุนั้นไม่แสดงอาบัติ ด้วยคิดเสียว่าเป็นโทษเพียงเล็กน้อย เมื่อจุติจากชาตินั้นแล้ว บังเกิดเป็นพระยานาค มีร่างกายเท่าเรือขุด เมื่อมาเกิดเป็นพระยานาคแล้ว ก็ได้รอคอยการอุบัติขึ้นของพระพระพุทธเจ้า พระยานาคเอรกปัตต์มีธิดารูปโฉมงดงามมากอยู่นางหนึ่ง จึงได้ใช้นางเป็นเครื่องมือในการค้นหาพระพุทธเจ้า โดยพระยานาคได้ป่าวประกาศว่า ผู้ใดก็ตามสามารถตอบคำถามธิดาของตนได้ ผู้นั้นก็จะได้ธิดาของตนเป็นภรรยา ในทุกเดือนๆละสองครั้ง พระยานาคจะให้ธิดายืนบนพังพานของตนในวันอุโบสถทุกกึ่งเดือน ร้องขับขานเพลงซึ่งมีเนื้อความตอนหนึ่งว่า “ผู้เป็นใหญ่อย่างไรเล่า ชื่อว่าพระราชา อย่างไรเล่า พระราชาชื่อว่ามีธุลีบนพระเศียร อย่างไรเล่า ชื่อว่าปราศจากธุลี อย่างไรเล่า ท่านจึงเรียกว่า คนพาล.” มีชายหนุ่มหลายคนเข้ามาตอบคำถามโดยหวังจะได้ธิดาพระยานาคเป็นภรรยา แต่ก็ไม่มีชายหนุ่มผู้ใดสามารถตอบถูก
วันหนึ่ง ในเวลาใกล้รุ่ง พระศาสดาทอดพระเนตรเห็นชายหนุ่มชื่อว่าอุตตระ เข้ามาอยู่ในข่ายคือพระญาณของพระองค์ ทรงตรวจสอบแล้วทราบว่า อุตตรมาณพจักได้บรรลุโสดาปัตติผล ซึ่งโยงใยไปถึงปัญหาที่ธิดาของพระยานาคราชเอรกปัตต์ถาม ในช่วงนั้น อุตตรมาณพอยู่ในระหว่างเดินทางจะไปตอบคำถามของธิดาพระยานาค
พระศาสดาจึงได้ทรงสอนเนื้อเพลงลำนำที่จะนำไปขับขานตอบคำถามของธิดาพระยานาคให้ ซึ่งมีเนื้อเพลงตอบโต้ตอนหนึ่งว่า “ ผู้เป็นใหญ่ในทวารหก ชื่อว่าเป็นพระราชา พระราชาผู้กำหนัดอยู่ ชื่อว่ามีธุลีบนพระเศียร ผู้ไม่กำหนัดอยู่ ชื่อว่าปราศจากธุลี ผู้กำหนัดอยู่ ท่านเรียกว่า คนพาล”
พระศาสดาก็ยังได้ทรงสอนบทเพลงอื่นๆที่จะใช้ขับขานตอบโต้กับเพลงของธิดาพระยานาคราชอีกหลายบท
ขณะที่อุตตรมาณพเรียนเพลงขับขานตอบโต้เพลงของธิดาของพระยาเนาคอยู่นั้น ก็ได้บรรลุโสดาปัตติผล
แม้ว่าจะบรรลุเป็นพระโสดาบันแล้ว แต่อุตตรมาณพก็ยังต้องการเดินทางไปตอบคำถามของธิดาพระยานาคเหมือนเดิม
เมื่อธิดาพระยานาคร้องขับขานเพลงดังขึ้น อุตตรมาณพก็ได้ร้องขับขานโต้ตอบด้วยบทเพลงแต่ละท่อนที่เล่าเรียนมาจากพระศาสดาดังนี้
1. คำถาม : ผู้เป็นใหญ่ อย่างไรเล่า ชื่อว่าเป็นพระราชา
คำตอบ : ผู้เป็นใหญ่ในทวาร 6 ชื่อว่าเป็นพระราชา
2. คำถาม : อย่างไรเล่า พระราชาชื่อว่ามีธุลีบนพระเศียร
คำตอบ : พระราชาผู้กำหนัดอยู่ ชื่อว่ามีธุลีบนพระเศียร
3.คำถาม : อย่างไรเล่า ชื่อว่าปราศจากธุลี
คำตอบ : ผู้ไม่กำหนัดอยู่ชื่อว่า ปราศจากธุลี
4. คำถาม : อย่างไรเล่า ท่านจึงเรียกว่า คนพาล
คำตอบ : ผู้กำหนัดอยู่ ท่านเรียกว่า คนพาล
5. คำถาม : คนพาลอันอะไรเอ่ย ย่อมพัดไป
คำตอบ : คนพาลอันห้วงน้ำ(คือกามโอฆะเป็นต้น) ย่อมพัดไป
6.คำถาม : บัณฑิตย่อมบรรเทาอย่างไร
คำตอบ : บัณฑิตย่อมบรรเทา(โอฆะนั้น) เสียด้วยความเพียร
7.คำถาม : อย่างไร จึงเป็นผู้มีความเกษมจากโยคะ
คำตอบ : บัณฑิตผู้ไม่ประกอบด้วยโยคะทั้งปวง ท่านเรียกว่า ผู้มีเกษมจากโยคะ
เมื่อพระยานาคเอรกปัตต์ ได้ฟังคำตอบเช่นนั้น ก็ทราบว่าพระพุทธเจ้าได้อุบัติขึ้นในโลกแล้ว จึงได้ไปขอให้อุตตรมาณพพาตนไปเฝ้าพระศาสดา และเมื่อได้เข้าเฝ้าแล้วได้กราบทูลพระศาสดา ถึงครั้งที่ตนเป็นพระภิกษุในพระศาสนาของพระกัสสปะพุทธเจ้า ดึงใบตะไคร้ขาด ไม่ยอมแสดงอาบัติ ทำให้ต้องมาเกิดเป็นพระยานาค และตั้งตารอคอยการอุบัติขึ้นของพระพุทธเจ้า พระศาสดา ทรงสดับถ้อยคำของนาคราชนั้นแล้วจึงตรัสว่า “มหาบพิตร ชื่อว่าความเป็นมนุษย์ หาได้ยากนัก การฟังพระสัทธรรม ก็หาได้ยาก การอุบัติขึ้นแห่งพระพุทธเจ้า ก็หาได้ยากเหมือนกัน เพราะว่าทั้ง 3 อย่างนี้ บุคคลย่อมได้ลำบากยากเย็น”
จากนั้น พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถานี้ว่า
กิจฺเฉน มนุสฺสปฺปฏิลาโภ
กิจฉํ มจฺจานชีวิตํ
กิจฺฉํ สทฺธมฺมสฺสวนํ
กิจฺโฉ พุทฺธานมุปฺปาโท ฯ
ความได้อัตภาพเป็นมนุษย์ เป็นการยาก
ชีวิตของสัตว์ทั้งหลาย เป็นอยู่ยาก
การฟังพระสัทธรรม เป็นของยาก
การที่อุบัติขึ้นแห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
เป็นการยาก.
เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง เหล่าสัตว์ 8 หมื่น 4 พัน ได้ตรัสรู้ธรรมแล้ว.
ฝ่ายนาคราชน่าจะได้โสดปัตติผลในวันนั้น แต่ก็ไม่ได้เพราะเป็นสัตว์ดิรัจฉาน.
No comments:
Write comments