เรื่องพระวังคีสเถระ
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพระวังคีสเถระ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า จุตึ โย เวทิ
เป็นต้น
ในกาลครั้งหนึ่ง พราหมณ์ในกรุงราชคฤห์คนหนึ่งชื่อวังคีสะ แค่เคาะกะโหลกศีรษะของพวกมนุษย์ที่ตายแล้ว ก็รู้ได้ในทันทีว่า “นี้เป็นศีรษะของคนผู้เกิดในนรก นี้เป็นศีรษะของคนผู้เกิดในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน นี้เป็นศีรษะของผู้เกิดในเปรตวิสัย นี้เป็นศีรษะของผู้เกิดในมนุษยโลก นี้เป็นศีรษะของผู้เกิดในเทวโลก” พวกพราหมณ์ทั้งหลายถือเอาเรื่องนี้เป็นจุดขาย จึงได้นำวังคีสพราหมณ์ขึ้นเกวียนออกตระเวนไปตามที่ต่างๆ และก็มีคนเป็นจำนวนมากมาขอรับบริการจากเขาให้เคาะศีรษะของพวกญาติๆที่ตายไปแล้ว โดยทั้งนี้คนที่มารับบริการจะต้องจ่ายเงินเป็นค่าบริการคนละ 10 กหาปณะบ้าง 20 กหาปณะบ้าง 30 กหาปณะบ้าง
อยู่มาวันหนึ่ง วังคีสพราหมณ์และคณะได้มาถึงสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากวัดพระเชตวัน เมื่อพวกพราหมณ์ในคณะเห็นประชาชนจะเดินทางไปเฝ้าพระศาสดา จึงได้ร้องเชื้อเชิญให้พวกเขามาใช้บริการเคาะกะโหลกศีรษะของญาติเพื่อรู้ที่เกิดของพวกเขา แต่ประชาชนเหล่านั้นตอบว่า “วังคีสะจะรู้อะไร บุคคลผู้ทัดเทียมกับพระศาสดาของเราย่อมไม่มี” พวกพราหมณ์เหล่านั้น ต้องการจะพิสูจน์ว่าระหว่างวังคีสะกับพระศาสดาใครจะเก่งกว่ากัน จึงได้พาวังคีสะร่วมเดินทางไปเฝ้าพระศาสดา พระศาสดาเมื่อทรงทราบวัตถุประสงค์ของคนเหล่านั้นแล้ว จึงรับสั่งให้ภิกษุทั้งหลายนำกะโหลกศีรษะของคนตายที่ไปเกิดในนรก คนตายที่ไปเกิดในกำเนิดดิรัจฉาน คนตายที่ไปเกิดในกำเนิดมนุษย์ คนตายที่ไปเกิดเป็นเทวดา และคนตายที่เป็นพระอรหันต์ มาเรียงกันไว้ตามลำดับ แล้วให้วังคีสะเคาะ วังคีสะเคาะแล้วสามารถบอกที่กำเนิดของกะโหลกคนตายของ 4 คนแรกได้อย่างถูกต้อง แต่พอมาเคาะกะโหลกของพระอรหันต์ วังคีสะบอกไม่ได้ว่าไปเกิดที่ใด พระศาสดาตรัสถามว่า “ท่านไม่รู้หรือ” เมื่อเขากราบทูลว่า “พระเจ้าข้า ข้าพระองค์ไม่รู้” พระศาสดาตรัสว่า “ฉันรู้” วังคีสะได้กราบทูลมนต์ที่จะทำให้ล่วงรู้กะโหลกศีรษะของพระอรหันต์นั้น แต่พระศาสดาตรัสว่าพระองค์จะประทานมนต์นั้นเฉพาะแก่บุคคลที่เป็นภิกษุเท่านั้น วังคีสะจึงได้บอกกับพราหมณ์ทั้งหลายในคณะให้ออกไปรออยู่นอกวัดในขณะที่เขาเรียนมนต์อยู่กับพระศาสดา จากนั้น พระศาสดาได้ทำพิธีอุปสมบทแก่วังคีสะ และเมื่ออุปสมบทเป็นภิกษุแล้ว พระศาสดาทรงประทานพระกัมมัฏฐานที่มีอาการ 32 เป็นอารมณ์แก่พระวังคีสเถระ แล้วตรัสว่า “เธอจงสาธยายบริกรรมมนต์” เมื่อได้บริกรรมอาการ 32 นั้นผ่านไปเพียง 2-3 วัน วังคีสเถระก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ เมื่อพวกพราหมณ์ในคณะมาชวนให้ออกไปตระเวนเคาะกะโหลกคนตายอีก พระวังคีสเถระก็ได้ตอบปฏิเสธไปว่า “ฉันไม่ควรไปแล้ว”
ภิกษุทั้งหลาย ได้ยินคำนั้นแล้ว เข้าใจว่าพระวังคีสะอวดอ้างตน ว่าเป็นพระอรหันต์ด้วยความไม่จริง จึงนำความนั้นกราบบังคมทูลพระศาสดา พระศาสดาตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย พวกเธออย่ากล่าวอย่างนั้น ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ บุตรของเราฉลาดในการจุติและปฏิสนธิแล้ว”
จากนั้น พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท สองพระคาถานี้ว่า
จุตึ โย เวทิ อตฺตานํ
อุปฺปตฺติญฺจ สพฺพโส
อสตฺตํ สุคตํ พุทฺธํ
ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ ฯ
ยสฺส คตึ น ชานนฺติ
เทวา คนฺธพฺพมานุสา
ขีณาสวํ อรหนฺตํ
ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ ฯ
ผู้ใด รู้จุติและอุบัติของสัตว์ทั้งหลาย
โดยประการทั้งปวง
เราเรียกผู้นั้นซึ่งไม่ข้องไปดี รู้แล้ว
ว่า เป็นพราหมณ์.
เทพดา คนธรรพ์ และหมู่มนุษย์
ย่อมไม่รู้คติของผู้ใด
เราเรียกผู้นั้น ซึ่งมีอาสวะสิ้นแล้ว
ผู้ไกลจากกิเลส ว่า เป็นพราหมณ์.
เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง ชนเป็นอันมาก บรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น.
No comments:
Write comments