เรื่องพระสุธรรมเถระ
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพระสุธรรมเถระ ตรัสพระธรรมบท พระคาถาที่ 73 และพระคาถาที่ 74
ครั้งหนึ่ง จิตตคฤหบดี เห็นพระมหานามเถระ หนึ่งในภิกษุคณะปัญจวัคคีย์ จึงรับบาตร นิมนต์เข้าไปในบ้าน แล้วได้ถวายภัตตาหารแก่พระเถระ และเมื่อฟังธรรมของพระเถระแล้วก็ได้บรรลุพระโสดาปัตติผล ต่อมาจิตตคฤหบดีได้สร้างวัดขึ้นในอุทยานชื่ออัมพาฏกวัน(สวนมะม่วง)ของตน ในมัจฉิกาสัณฑนคร และคอยดูแลอุปถัมภ์พระภิกษุสงฆ์ที่เดินทางมาพักอยู่ที่วัดนี้ด้วยปัจจัยต่างๆเป็นอย่างดี ที่วัดนี้มีพระสุธรรมเถระเป็นเจ้าอาวาส
วันหนึ่ง พระอัครสาวกทั้ง 2 คือ พระสารีบุตรแลพระโมคคัลลานะ ได้เดินทางไปที่วัดนี้ และจิตตคฤหบดีหลังจากฟังธรรมของพระสารีบุตรแล้ว ก็ได้บรรลุพระอนาคามิผล จากนั้นท่านคฤหบดีก็ได้อาราธนาพระอัครสาวกทั้ง 2 ไปรับอาหารบิณฑบาตที่บ้านในวันรุ่งขึ้น ท่านคฤหบดีได้อาราธนาพระสุธรรมเถระเจ้าอาวาสด้วยเช่นกัน แต่พระสุธรรมเถระโกรธหาว่า “อุบาสกนี้ นิมนต์เราภายหลัง” จึงปฏิเสธที่จะรับนิมนต์ แม้ว่าท่านคฤหบดีจะอ้อนวอนอยู่หลายครั้งก็ยังปฏิเสธว่าจะไม่ไปเช่นเดิม แต่พอถึงเวลาจริงๆ ท่านพระสุธรรมเถระกลับเดินทางไปที่บ้านของจิตตคฤหบดีในตอนเช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น เมื่อจิตตคฤหบดีนิมนต์ให้เข้าไปนั่งในบ้านท่านกลับปฏิเสธโดยกล่าวว่าท่านไม่ต้องการเข้าไปนั่งแต่ต้องการจะออกไปบิณฑบาต เมื่อท่านแลเห็นสิ่งของต่างๆที่จิตตคฤหบดีตระเตรียมไว้ถวายพระอัครสาวกทั้ง 2 ท่านก็เกิดความริษยาพระอัครสาวกทั้งสอง ถึงกับระงับความโกรธไว้ไม่อยู่ ท่านได้กล่าวเสียดสีจิตตคฤหบดีแล้วกล่าวว่า “อาตมาไม่ต้องการอยู่ในวัดนี้อีกต่อไปแล้ว” แล้วก็จากไปด้วยความโกรธ
ท่านสุธรรมเถระได้เดินทางไปเฝ้าพระศาสดาและได้กราบทูลเรื่องที่เกิดขึ้นแด่พระศาสดา พระศาสดาได้ตรัสกับพระสุธรรมเถระว่า “เธอด่าอุบาสกผู้ประกอบศรัทธาและมีอัธยาศัยใฝ่ทาน เธอจงกลับไปขอโทษความผิดต่ออุบาสกนั้นเสีย” พระสุธรรมเถระได้กลับไปขอโทษ แต่จิตตคฤหบดีไม่ยอมยกโทษให้ ท่านจึงต้องกลับไปเฝ้าพระศาสดาเป็นครั้งที่สอง พระศาสดาทรงทราบว่าคราวนี้พระสุธรรมเถระหมดทิฏฐิมานะแล้ว จึงตรัสว่า “เธอจงไปเถิด ไปกับภิกษุผู้เก่งในทางเจรจา(อุปทูต) จงให้อุบาสกอดโทษ” แล้วตรัสอีกว่า “พระที่ดีไม่พึงยึดติด ไม่พึงมีทิฏฐิมานะว่า วิหารของเรา ที่อยู่ของเรา อุบาสกของเรา อุบาสิกาของเรา เพราะเมื่อพระทำอย่างนั้น เหล่ากิเลส มีริษยาและมานะเป็นต้น ย่อมเจริญ”
จากนั้น พระศาสดาตรัสพระธรรมบท พระคาถาที่ 73 และพระคาถาที่ 74 ว่า
อสนฺตํ ภาวนมิจฺเฉยฺย
ปุเรกฺขารญฺจ ภิกฺขุสุ
อาวาเสสุ จ อิสฺสริยํ
ปูชา ปรกุเลสุ จฯ
ภิกษุพาล ย่อมปรารถนา
ความยกย่อง อันไม่มีอยู่
ความแวดล้อมในหมู่ภิกษุทั้งหลาย
ความเป็นใหญ่ในอาวาส
และการบูชาในตระกูลแห่งชนอื่นฯ
มเมว กตมญฺญนฺตุ
คิหี ปพฺพชิตา อุโภ
มเมว ติวสา อสฺสุ
กิจฺจากิจฺเจสุ กิสมิญฺจิ
อิติ พาลสฺส สงฺกฺโป
อิจฉา มาโน จ วฑฺฒติฯ
ภิกษุโง่ คาดหวังว่า
ขอคฤหัสถ์และบรรพชิตทั้ง 2 ฝ่าย
จงสำคัญว่า กิจการงานทำเสร็จไปเพราะอาศัยเรา
ในกิจการทุกอย่าง
ไม่ว่าจะเป็นกิจการน้อยใหญ่ใดๆ
จะสำเร็จได้ก็โดยอาศัยเราเท่านั้น
ความทะยานอยาก และความถือตัวของภิกษุโง่นั้น ย่อมเพิ่มพูน.
เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง ชนเป็นอันมาก ได้บรรลุพระอริยผลทั้งหลาย มีพระโสดาปัตติผลเป็นต้น
ข้างพระสุธรรมเถระ ฟังโอวาทนี้แล้วก็ได้เดินทางไปที่บ้านของจิตตคฤหบดี ครั้งนี้ทั้งสองฝ่ายสามารถประนีประนีประนอมกันได้ และจากนั้นอีกไม่กี่วัน พระสุธรรมเถระก็ได้บรรลุพระอรหัตตผล.
No comments:
Write comments