เรื่องสัฏฐิกูฏเปรต
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเวฬุวัน ทรงปรารภสัฏฐิกูฏเปรต ตรัสพระธรรมบท พระคาถาที่ 72 นี้
พระมหาโมคคัลลานเถระ ลงจากภูเขาคิชฌกูฏ พร้อมกับพระลักขณเถระ เห็นเปรตตัวใหญ่โตมาก ขณะจะไป
บิณฑบาต ได้กระทำการยิ้มแย้มแต่ไม่ได้พูดอะไร พอกลับจากบิณฑบาตเข้าไปในวัดพระเวฬุวัน ได้กราบทูลเรื่องนี้แด่พระศาสดา พระศาสดาตรัสว่า สัฏฐิกูฏเปรตนี้ในอดีตชาติ เป็นบุรุษเปลี้ยผู้ชำนาญในการดีดก้อนกรวด วันหนึ่งเขาได้ขออนุญาตจากอาจารย์ทำการทดลองความแม่นยำของการดีดก้อนกรวด อาจารย์บอกว่าจะต้องไม่ทดลองกับโคหรือกับมนุษย์ เพราะหากโคหรือมนุษย์ตายจะต้องจ่ายสินไหมให้แก่เจ้าของโคหรือญาติของผู้ตาย แต่จะต้องหาเป้าที่เป็นคนที่ไม่มีมีมารดาบิดาเท่านั้น
บุรุษเปลี้ยมาเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ชื่อว่าสุเนตตะ ซึ่งกำลังออกเดินบิณฑบาต จึงคิดจะใช้ท่านเป็นเป้าสำหรับดีดกรวด โดยมีความคิดว่า “พระปัจเจกพุทธเจ้านี้ เป็นผู้ไม่มีมารดาบิดา เมื่อเราดีดผู้นี้ ไม่ต้องมีสินไหม เราจักดีดพระปัจเจกพุทธเจ้านี้ ทดลองศิลปะ” ก้อนกรวดที่บุรุษเปลี้ยดีดไปเข้าทางช่องหูขวาไปทะลุออกทางช่องหูซ้าย พระปัจเจกพุทธเจ้าเมื่อโดนดีดด้วยกรวด ได้รับบาดเจ็บเดินบิณฑบาตต่อไปไม่ได้ ได้เหาะกลับไปปรินิพพาน(เสียชีวิต)ที่บรรณศาลา ต่อมาเมื่อชาวบ้านมาพบว่าบุรุษเปลี้ยเป็นผู้สังหารพระปัจเจกพุทธเจ้า ก็ได้ช่วยกันเอาก้อนหินขว้างปาจนถึงแก่ความตาย และเขาไปเกิดในมหานรกชั้นอเวจี เมื่อไปหมกไหม้อยู่ในนรกชั้นนี้จนแผ่นดินโลกมนุษย์หนาขึ้นโยชน์หนึ่ง จึงได้มาเสวยเศษกรรมที่เหลือ โดยมาเกิดเป็นสัฏฐิกูฏเปรต ที่ยอดเขาคิชฌกูฏ ที่พระมหาโมคคัลลานะแลเห็นดังกล่าว โดยที่ศีรษะของเปรตตนนี้ถูกค้อนเหล็กเผาไฟจนแดง 6 หมื่นอันตีกระหน่ำอยู่อย่างต่อเนื่อง
พระศาสดาครั้นนำบุรพกรรมของเปรตนี้มาแสดงแล้ว ตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย คนพาลได้ศิลปะหรือความรู้มาแล้ว ย่อมทำความฉิบฉายแก่ตนถ่ายเดียว”
จากนั้น พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถาที่ 72 ว่า
ยาวเทว อนตฺถาย
ญตฺตํ พาลสฺสส ชายติ
หนฺติ พาลสฺสส สุกฺกํสํ
มุทฺธมสฺส วิปาตยํฯ
ความรู้ย่อมเกิดแก่คนพาล
เพียงเพื่อความฉิบหายเท่านั้น
ความรู้นั้น ยังหัวคิดของเขาให้ตกไป
ย่อมฆ่าส่วนสุกกธรรมของคนพาลเสีย.
เมื่อพระสัทธรรมเทศนาจบลง ชนเป็นอันมาก ได้บรรลุพระอริยผลทั้งหลาย มีพระโสดาปัตติผลเป็นต้น.
No comments:
Write comments