เรื่องสุมนาเทวี
๑๓. เรื่องนางสุมนาเทวี
[๑๓] ข้อความเบื้องต้น พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภนาง สุมนาเทวี ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "อิธ นนฺทติ เปจฺจ นนฺทติ" เป็นต้น. อบรมลูกหลานให้รับหน้าที่ของตน ความพิสดารว่า ภิกษุสองพันรูป ย่อมฉันในเรือนของอนาถบิณฑิก- เศรษฐีในกรุงสาวัตถีทุกวัน, ในเรือนของนางวิสาขามหาอุบาสิกาก็เช่นนั้น. บุคคลใด ๆ ในกรุงสาวัตถี เป็นผู้ประสงค์จะถวายทาน, บุคคลนั้น ๆ ต้องได้โอกาสของท่านทั้งสองนั้นก่อนแล้ว จึงทำได้. ถามว่า "เพราะเหตุไร ?" ตอบว่า " เพราะคนอื่น ๆ ถามว่า ' ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี หรือนางวิสาขา มาสู่โรงทานของท่านแล้วหรือ" เมื่อเขาตอบว่า " ไม่ได้มา," ย่อมติเตียน แม้ทานอันบุคคลสละทรัพย์ตั้งแสนแล้วทำ ว่า "นี่ชื่อว่าทานอะไร ?" เพราะท่านทั้งสองนั้น ย่อมรู้จักความ ชอบใจของภิกษุสงฆ์และกิจอันสมควรแก่ภิกษุสงฆ์. เมื่อท่านทั้งสองนั้น อยู่, พวกภิกษุย่อมฉันได้ตามพอใจทีเดียว. เพราะฉะนั้น ทุก ๆ คนที่ ประสงค์จะถวายทาน จึงเชิญท่านทั้งสองนั้นไป. ท่านทั้งสองนั้นย่อม ไม่ได้เพื่อจะอังคาสภิกษุทั้งหลายในเรือนของตนด้วยเหตุนี้ เพราะเหตุนั้น นางวิสาขา เมื่อใคร่ครวญว่า "ใครหนอแล ? จักดำรงในหน้าที่ของเราเลี้ยงภิกษุสงฆ์." เห็นธิดาของบุตรแล้ว จึงตั้งเขาไว้ในหน้าที่ของตน. นางอังคาสภิกษุสงฆ์ในเรือนของนางวิสาขานั้น. ถึงท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ก็ตั้งธิดาคนใหญ่ ชื่อมหาสุภัททาไว้. ก็นางมหาสุภัททานั้น ทำการขวนขวายแก่ภิกษุทั้งหลายอยู่ (และ) ฟังธรรมอยู่ เป็นพระโสดาบันแล้ว ได้ไปสู่สกุลแห่งสามี. แต่นั้น ท่านอนาถบิณฑิกะ ก็ตั้งนางจุลสุภัททา (แทน). แม้ นางจุลสุภัททานั้น ก็ทำอยู่อย่างนั้นเหมือนกัน เป็นพระโสดาบันแล้ว ก็ไปสู่สกุลแห่งสามี. ลำดับนั้น ท่านอนาถบิณฑิกะ จึงตั้งธิดาคนเล็ก นามว่าสุมนาเทวี (แทน). นางสุมนาป่วยเรียกบิดาว่าน้องชาย ก็นางสุมนาเทวีนั้น ฟังธรรมแล้ว บรรลุสกทาคามิผล ยังเป็น กุมาริกา (รุ่นสาว) อยู่เทียว, กระสับกระส่ายด้วยความไม่ผาสุก เห็นปานนั้น ตัดอาหาร(๑ ) มีความประสงค์จะเห็นบิดา จึงให้เชิญมา. ท่านเศรษฐีนั้น พอได้ยินข่าวของธิดาในโรงทานแห่งหนึ่ง ก็มาหาแล้ว พูดว่า "เป็นอะไรหรือ ? แม่สุมนา." ธิดานั้น ตอบบิดาว่า "อะไรเล่า ? น้องชาย" บ. เจ้าเพ้อไปหรือ ? แม่. ธ. ไม่เพ้อ น้องชาย. บ. เจ้ากลัวหรือ ? แม่. ธ. ไม่กลัว น้องชาย.(๑. ) อาหารุปจฺเฉทํ กตฺวา ทำการเข้าไปตัดซึ่งอาหาร.
น.
แต่พอนางสุมนาเทวี กล่าวได้เพียงเท่านี้ ก็ได้ทำกาละแล้ว. ท่านเศรษฐีผู้บิดาร้องให้ไปทูลพระศาสดา ท่านเศรษฐีนั้น แม้เป็นพระโสดาบัน ก็ไม่สามารถจะกลั้นความ โศกอันเกิดในธิดาได้ ให้ทำการปลง(๑) ศพของธิดาเสร็จแล้ว ร้องไห้ ไปสู่สำนักพระศาสดา, เมื่อพระองค์ ตรัสว่า "คฤหบดี ทำไม ? ท่านจึงมีทุกข์ เสียใจ มีหน้าอาบไปด้วยน้ำตา ร้องไห้ มาแล้ว " จึง กราบทูลว่า " นางสุมนาเทวี ธิดาของข้าพระองค์ ทำกาละเสียแล้ว พระเจ้าข้า." ศ. เมื่อเป็นเช่นนั้น เหตุไร ? ท่านจึงโศก, ความตาย ย่อม เป็นไปโดยส่วนเดียวแก่สรรพสัตว์ มิใช่หรือ ? อ. ข้าพระองค์ทราบข้อนั้น พระเจ้าข้า แต่ธิดาของข้าพระองค์ ถึงพร้อมด้วยหิริและโอตตัปปะเห็นปานนี้, ในเวลาจวนตายนางไม่สามารถ คุมสติไว้ได้เลย บ่นเพ้อตายไปแล้ว, ด้วยเหตุนั้นโทมนัสไม่น้อย จึงเกิด แก่ข้าพระองค์. ศ. มหาเศรษฐี ก็นางพูดอะไรเล่า ? อ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เรียกนางว่า 'เป็นอะไร หรือ ? สุมนา' ทีนั้น นางก็กล่าวกะข้าพระองค์ว่า 'อะไร ? น้องชาย' แต่นั้น เมื่อข้าพระองค์กล่าวว่า ' เจ้าเพ้อไปหรือ ? แม่ ' ก็ตอบว่า ' ไม่เพ้อ น้องชาย ' เมื่อข้าพระองค์ถามว่า 'เจ้ากลัวหรือ ? แม่' ก็ตอบว่า ' ไม่กลัว น้องชาย ' พอกล่าวได้เท่านี้ก็ทำกาละแล้ว.
(๑. ) สรีรกิจฺจํ.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสกะเศรษฐีนั้นว่า "มหาเศรษฐี ธิดาของท่าน จะได้เพ้อก็หามิได้." อ. เมื่อเช่นนั้น เหตุไร ? นางจึงพูดอย่างนั้น. ศ. เพราะท่านเป็นน้องนางจริง ๆ (นางจึงพูดอย่างนั้นกะท่าน), คฤหบดี ก็ธิดาของท่านเป็นใหญ่กว่าท่านโดยมรรคและผล, เพราะท่าน เป็นเพียงโสดาบัน. ส่วนธิดาของท่านเป็นสกทาคามินี ; เพราะนางเป็น ใหญ่โดยมรรคและผล นางจึงกล่าวอย่างนั้นกะท่าน. อ. อย่างนั้นหรือ พระเจ้าข้า. ศ. อย่างนั้น คฤหบดี. อ. เวลานี้นางเกิดที่ไหน พระเจ้าข้า. เมื่อพระศาสดา ตรัสว่า " ในภพดุสิต คฤหบดี" ท่านเศรษฐี จึงกราบทูลว่า " ธิดาของข้าพระองค์ เที่ยวเพลิดเพลินอยู่ในระหว่าง หมู่ญาติในโลกนี้ แม้ไปจากโลกนี้แล้ว ก็เกิดในที่ ๆ เพลิดเพลินเหมือน กันหรือ ? พระเจ้าข้า." คนทำบุญย่อมเพลิดเพลินในโลกทั้งสอง ทีนั้น พระศาสดาตรัสกะเศรษฐีนั้นว่า " อย่างนั้น คฤหบดี ธรรมดาผู้ไม่ประมาท เป็นคฤหัสถ์ก็ตาม เป็นบรรพชิตก็ตาม ย่อม เพลิดเพลินในโลกนี้และโลกหน้าแท้" ดังนี้แล้ว ตรัสพระคาถานี้ว่า
๑๓. อิธ นนฺทติ เปจฺจ นนฺทติ กตปุญฺโ อุภยตฺถ นนฺทติ ปุญฺํ เม กตนฺติ นนฺทติ ภิยฺโย นนฺทติ สุคตึ คโต.
"ผู้มีบุญอันทำไว้แล้ว ย่อมเพลิดเพลินในโลกนี้, ละไปแล้ว ย่อมเพลิดเพลิน เขาย่อมเพลิดเพลิน ในโลกทั้งสอง เขาย่อมเพลิดเพลินว่า ' เราทำบุญ ไว้แล้ว' ไปสู่สุคติ ย่อมเพลิดเพลินยิ่งขึ้น."
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อิธ ความว่า ย่อมเพลิดเพลินในโลกนี้ ด้วยความเพลิดเพลินเพราะกรรม. บทว่า เปจฺจ ความว่า ย่อมเพลิดเพลินในโลกหน้า ด้วยความ เพลิดเพลินเพราะวิบาก. บทว่า กตปุญฺโ คือ ผู้ทำบุญมีประการต่าง ๆ. บทว่า อุภยตฺถ ความว่า ย่อมเพลิดเพลินในโลกนี้ ด้วยคิดว่า " กุศลเราทำไว้แล้ว, บาปเราไม่ได้ทำ." เมื่อเสวยวิบาก ชื่อว่า ย่อม เพลิดเพลินในโลกหน้า. สองบทว่า ปุญฺํ เม ความว่า ก็เมื่อเพลิดเพลินในโลกนี้ ชื่อว่า ย่อมเพลิดเพลิน เหตุอาศัยความเพลิดเพลินเพราะกรรม ด้วยเหตุเพียง โสมนัสเท่านั้นว่า "เราทำบุญไว้แล้ว." บทว่า ภิยฺโย เป็นต้น ความว่า ก็เขาไปสู่สุคติแล้ว เมื่อเสวย ทิพยสมบัติ ตลอด ๕๗ โกฏิปีบ้าง ๖๐ แสนปีบ้าง ย่อมชื่อว่า เพลิดเพลิน อย่างยิ่งในดุสิตบุรี ด้วยความเพลิดเพลินเพราะวิบาก.
ในกาลจบคาถา คนเป็นอันมาก ได้เป็นอริยบุคคลมีโสดาบัน เป็นต้นแล้ว. พระธรรมเทศนา ได้เป็นประโยชน์แก่มหาชน ดังนี้แล.
เรื่องนางสุมนาเทวี จบ.
No comments:
Write comments