KEATHADHAMMABOTHTHAI

nousambath855@gmail.com

เรียบเรียงโดย จงฺกมรกฺขิโต นู สมบัติ keathadhammaboththai.blogspot.com

อ่านเรื่องในคาถาธรรมบท ๓๐๒ เรื่อง บล็กนี้เรียบเรียงโดย ภิกฺขุ จงฺกมรกฺขิโต นู สมบัติ ขออนุโมทนาบุญทุกย่าง ! Email: nousambath855@gmail.com

July 16, 2017

๑๑.เรื่องชน 3 กลุ่ม

Posted by   on Pinterest

เรื่องชน 3 กลุ่ม



พระศาสดา  เมื่อประทับอยู่ในพระเชตะวัน   ทรงปรารภชน  3  คน  ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า   อนฺตลิกฺเข  น   สมุทฺทมชฺเฌ   เป็นต้น

มีภิกษุ  3 กลุ่มมีประสบการณ์ไปพบเห็นที่แตกต่างกัน คือ ภิกษุกลุ่มที่หนึ่ง  จะเดินทางมาเข้าเฝ้าพระศาสดา  ในระหว่างทางได้ไปแวะพักอยู่ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง  ขณะที่พวกชาวบ้านกำลังตระเตรียมปรุงอาหารบิณฑบาตถวายพระสงฆ์อยู่นั้น  มีบ้านหลังหนึ่งเกิดไฟไหม้ และมีเสวียนไฟ(ลักษณะเป็นวงกลม) ปลิวขึ้นสู่ท้องฟ้า  และมีอีกาตัวหนึ่งบินสอดคอเข้าไปในวงเสวียนไฟตกลงมาตายที่กลางหมู่บ้าน  ภิกษุทั้งหลายเห็นอีกาบินสอดคอเข้าไปในเสวียนตกลงมาตายเช่นนั้น  ก็กล่าวว่า  จะมีก็แต่พระศาสดาเท่านั้นที่จะทรงทราบกรรมชั่วที่ส่งผลให้อีกาตัวนี้ต้องมาประสบชะตากรรมเสียชีวิตอย่างสยดสยองครั้งนี้

ภิกษุกลุ่มที่สอง  โดยสารเรือจะไปเฝ้าพระศาสดา  เมื่อเรือลำนั้นเดินทางมาถึงกลางมหาสมุทร  เกิดการหยุดนิ่งอยู่กับที่  พวกผู้โดยสารมากับเรือต่างปรึกษาหารือกันถึงสาเหตุที่ทำให้เรือหยุด   เห็นว่าในเรือน่าจะมีคนกาลกัณณี  จึงได้ทำสลากแจกให้แต่ละคนจับเพื่อค้นหาคนกัณณีคนนั้น  ปรากฏว่าสลากคนกาลกัณณีนั้น ภรรยาของนายเรือจับได้ถึงสามครั้ง  นายเรือจึงกล่าวขึ้นว่า  คนทั้งหลายจะมาตายเพราะหญิงกาลกัญณีคนนี้ไม่ได้  จึงจับภรรยาของนายเรือ ใช้กระสอบทรายมัดที่คอแล้วผลักตัวลงไปในน้ำทะเล   เมื่อหญิงภรรยาของนายเรือถูกจับถ่วงน้ำไปแล้ว  เรือก็สามารถเคลื่อนตัวได้อย่างปาฏิหาริย์   เมื่อภิกษุเหล่านั้นเดินทางถึงจุดหมายปลายทางแล้ว  ก็ขึ้นฝั่งจะเดินทางต่อไปเฝ้าพระศาสดา  พระกลุ่มนี้ตั้งใจว่าจะทูลถามว่า  หญิงผู้นี้ทำกรรมชั่วอะไรไว้  จึงเป็นผู้โชคร้ายถูกถ่วงน้ำจนเสียชีวิต

ภิกษุกลุ่มที่สามก็จะเดินทางมาเฝ้าพระศาสดาเหมือนกัน  แต่ในระหว่างทางได้เข้าไปสอบถามที่พระภิกษุวัดแห่งหนึ่งว่าพอจะมีที่พักค้างแรมสักคืนในบริเวณใกล้เคียงหรือไม่  เมื่อได้รับแจ้งว่ามีถ้ำแห่งหนึ่งพอจะพักค้างแรมได้  จึงได้เดินทางไปพัก ณ ที่นั้น  แต่พอถึงช่วงกลางดึกก็มีหินใหญ่ก้อนหนึ่งกลิ้งมาปิดที่ปากถ้ำ  ในตอนเช้าพวกภิกษุจากวัดที่อยู่ใกล้ๆเดินทางมาที่ถ้ำ เมื่อเห็นหินใหญ่กลิ้งมาปิดอยู่ที่ปากถ้ำเช่นนั้น  ก็ได้ไปตระเวนขอแรงชาวบ้านจากเจ็ดหมู่บ้านให้มาช่วยกันผลักหินก้อนนั้น  แต่ไม่ประสบความสำเร็จ   ด้วยเหตุนี้พระภิกษุ  7 รูปจึงถูกขังอยู่ในถ้ำโดยไม่ได้ฉันอาหารฉันเป็นเวลา  7 วัน  พอถึงวันที่  7  หินใหญ่ที่ปิดปากถ้ำก็เคลื่อนตัวออกมาเองราวปาฏิหาริย์  ภิกษุกลุ่มนี้ก็ตั้งใจว่า  เมื่อเดินทางไปเฝ้าพระศาสดาแล้วก็จะทูลถามว่าเป็นวิบากกรรมชั่วอะไรที่ทำให้พวกท่านต้องถูกขังอยู่ในถ้ำนานถึง  7 วันเช่นนี้

ภิกษุทั้งสามกลุ่มได้เดินทางมาพบกันระหว่างทาง  จึงเดินทางไปเฝ้าพระศาสดาพร้อมกัน  ภิกษุแต่ละกลุ่มก็ได้กราบทูลถึงสิ่งที่กลุ่มตนได้ประสบพบเห็นมา  และพระศาสดาได้ตรัสตอบคำถามของพระภิกษุทั้งสามกลุ่มดังนี้

พระศาสดาตรัสตอบคำถามของพระภิกษุกลุ่มแรกว่า  “ ภิกษุทั้งหลาย  กานั้นได้เสวยกรรมที่ตนทำแล้วนั่นแหละโดยแท้  เรื่องมีอยู่ว่า  ชาวนาผู้หนึ่งในกรุงพาราณสี  ฝึกโคของตนอยู่  แต่ไม่อาจฝึกได้  ด้วยว่าโคของเขาเดินไปได้หน่อยเดียวก็นอน  แม้เขาจะตีให้ลุกขึ้น  ให้เดินไปได้หน่อยเดียวก็ล้มตัวลงนอนเหมือนอย่างเดิม  ชาวนานั้น  แม้พยายามแล้วก็ไม่สามารถฝึกโคได้สำเร็จ  จึงมีความโกรธ กล่าวกับมันว่า  อยากนอนนัก  ก็นอนอยู่ที่นี่ ไม่ต้องไปไหนอีก  ว่าแล้วก็เอาฟ่อนฟางมามัดที่คอโคแล้วจุดไฟเผา   โคถูกไฟคลอกตาย ภิกษุทั้งหลาย  กรรมอันเป็นบาปนั้น  ชาวนานั้นกระทำแล้วในครั้งนั้น  ทำให้เขาหมกไหม้อยู่ในนรกสิ้นกาลนาน  เพราะวิบากของกรรมอันเป็นบาปนั้น  เกิดแล้วในกำเนิดกา  7  ครั้ง  ถูกไฟไหม้ตายในอากาศอย่างนี้แหละ  ด้วยเศษวิบากกรรม"

พระศาสดาตรัสตอบปัญหาของพระภิกษุกลุ่มที่สองว่า “ภิกษุทั้งหลาย  ครั้งหนึ่งมีหญิงผู้หนึ่ง  เลี้ยงสุนัขไว้ตัวหนึ่ง  นางพาสุนัขตัวนี้ไปไหนมาไหนด้วย  จนพวกเด็กๆเห็นพากันล้อเลียน  นางทั้งโกรธและรู้สึกอับอายมากจึงได้วางแผนฆ่าสุนัขนั้น  นางได้เอาหม้อมาใส่ทรายจนเต็มแล้วผูกหม้อทรายนั้นที่คอของสุนัขแล้วถ่วงสุนัขนั้นลงในน้ำ จนสุนัขนั้นจมน้ำตาย   จากผลของกรรมชั่วครั้งนั้น  นางตกรกอยู่เป็นเวลานาน  ในร้อยชาติสุดท้าย นางถูกมัดถ่วงด้วยกระสอบทรายที่คอก่อนจะถูกผลักลงน้ำจนเสียชีวิต”

พระศาสดาตรัสตอบปัญหาของพระภิกษุกลุ่มที่สามว่า “ภิกษุทั้งหลาย  ครั้งหนึ่งเด็กเลี้ยงโค 7 คนเห็นเหี้ยตัวหนึ่งเดินเข้าไปในช่องจอมปลวก  จึงช่วยกันปิดทางออกทั้ง 7     ช่องของจอมปลวกด้วยกิ่งไม้และก้อนดินเหนียว  หลังจากปิดช่องทางไม่ให้เหี้ยออก  พวกเด็กก็ต้อนโคไปเลี้ยง ณ ที่อื่น  หลังจากนั้นอีกเจ็ดวัน  เมื่อต้อนโคกลับมาที่เดิมจึงนึกขึ้นมาได้  และได้ไปช่วยกันเปิดช่องจอมปลวกให้เหี้ยนั้นออกมา  ก็เพราะวิบากกรรมครั้งนั้น    ทำให้ทั้ง 7 คนถูกขังอยู่ในถ้ำนานถึง 7 วันโดยไม่ได้รับประทานอาหารแบบนี้  ในช่วง 14 ชาติสุดท้าย”

ภิกษุทั้งหลายกราบทูลถามพระศาสดาว่า  “ผู้ซึ่งเหาะไปในอากาศก็ดี  แล่นไปสู่มหาสมุทรก็ดี  เข้าไปสู่ซอกแห่งภูเขาก็ดี  จะไม่ทำให้สามารถรอดพ้นจากกรรมได้  ใช่หรือไม่  พระเจ้าข้า”  พระศาสดาตรัสว่า  “อย่างนั้นแหละ   ภิกษุทั้งหลาย  ไม่ว่าจะไปอยู่ในอากาศ หรือไปอยู่ที่ใดก็ตาม  ไม่มีที่ไหนๆที่บุคคลไปอยู่แล้ว  จะรอดพ้นจากกรรมชั่วได้”
จากนั้น พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบทพระคาถานี้ว่า

น  อนฺตลิกฺเข   น  สมุทฺทมชฺเฌ
น  ปพฺพตานํ  วิวรํ  ปวิสฺส
น  วิชฺชเต   โส  ชคติปฺปเทโส
ยตฺรฏฺฐิโต   มุจเจยฺย   ปาปกมฺมาฯ

คนที่ทำกรรมชั่วไว้  หนีไปแล้วในอากาศ
ก็ไม่พึงพ้นจากความชั่วได้
หนีไปในท่ามกลางมหาสมุทร
ก็ไม่พึงพ้นจากกรรมชั่วได้
หนีเข้าไปสู่ซอกแห่งภูเขา
ก็ไม่พึงพ้นจากกรรมชั่วได้
เพราะเขาอยู่แล้วในประเทศแห่งแผ่นดินใด
พึงพ้นจากกรรมชั่วได้
ประเทศแห่งแผ่นดินนั้น  หามีอยู่ไม่.

เมื่อพระสัทธรรมเทศนาจบลง   ภิกษุเหล่านั้น  บรรลุอริยผลทั้งหลายมีโสดาปัตติผลเป็นต้น พระธรรมเทศนามีประโยชน์แม้แก่มหาชนผู้มาประชุมกัน.

No comments:
Write comments