KEATHADHAMMABOTHTHAI

nousambath855@gmail.com

เรียบเรียงโดย จงฺกมรกฺขิโต นู สมบัติ keathadhammaboththai.blogspot.com

อ่านเรื่องในคาถาธรรมบท ๓๐๒ เรื่อง บล็กนี้เรียบเรียงโดย ภิกฺขุ จงฺกมรกฺขิโต นู สมบัติ ขออนุโมทนาบุญทุกย่าง ! Email: nousambath855@gmail.com

July 16, 2017

๑๐.เรื่องอสทิสทาน

Posted by   on Pinterest

เรื่องอสทิสทาน



พระศาสดา  เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน  ทรงปรารภอสทิสทาน  ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า  น  เว  กทริยา  เทวโลกํ  วชนฺติ  เป็นต้น

ในสมัยหนึ่ง   พระเจ้าปเสนทิโกศล  ทรงถวายมหาทานแด่พระศาสดาและภิกษุทั้งหลาย  พวกชาวเมืองซึ่งเป็นพสกนิกรของพระราชา  ต้องการแข่งขันการให้ทานกับราชา  จึงได้จัดพิธีให้ทานที่ยิ่งใหญ่กว่าทานของพระราชา  และทั้งสองฝ่ายได้แข่งขันถวายทานกันยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ  ในที่สุด พระนางมัลลิกาเทวี  พระมเหสีของพระราชา  ได้ทรงคิดแผนการให้ทานที่ยิ่งใหญ่เพื่อให้ชนะทานของชาวเมือง  และพระนางก็ได้ดำเนินแผนนั้น  โดยได้ทูลพระราชาให้ทรงสร้างมณฑปที่นั่งขนาดใหญ่สำหรับเป็นที่นั่งของภิกษุสงฆ์ 500  รูป  กับให้ทรงสร้างเศวตฉัตร  500 คัน  และตระเตรียมช้าง 500 เชือก คอยถือเศวตฉัตร 500 คันกั้นอยู่เบื้องบนศีรษะของภิกษุสงฆ์ 500 รูปนั้น  ที่ตรงกลางมณฑปขนาดใหญ่นั้น  ทรงให้สร้างเรือทองคำสีสุกใสไว้ 8-10 ลำ  เรือแต่ละลำบรรจุไว้ด้วยของหอมที่บดโดยบรรดาเจ้าหญิงทั้งหลาย  และก็ยังเตรียมเจ้าหญิงจำนวน  250  องค์ไว้คอยนั่งพัดภิกษุสงฆ์องค์ละ 2 รูป   เมื่อการเตรียมการทั้งหลายสำเร็จเสร็จสิ้นตามแผนแล้ว  ก็ได้มีการถวายมหาทาน  มหาทานครั้งนี้มีความยิ่งใหญ่หาทานอื่นใดเทียบมิได้ จึงเรียกชื่อว่า  อสทิสทาน  ซึ่งตำราบอกว่า  อสทิสทานนี้มีแก่พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์  พระองค์ละครั้งเท่านั้น   และเป็นทานที่มีสตรีเป็นผู้จัดแจงเพื่อถวายพระศาสดาและพระภิกษุสงฆ์

ครั้งนั้น พระเจ้าปเสนทิโกศลมีอำมาตย์ 2 คน  คนหนึ่งชื่อกาฬะ  อีกคนหนึ่งชื่อชุณหะ   กาฬอำมาตย์ มีความเห็นว่า  การทำทานอันยิ่งใหญ่ของพระราชา  ทรงใช้งบประมาณถึง  14 โกฏิ   เป็นการสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ  พระภิกษุสงฆ์ฉันแล้วก็ไม่ทำการงานอะไร  ฉันแล้วก็กลับวัดไปนอนหลับในกุฏิเท่านั้นเอง  ส่วนชุณหอำมาตย์เห็นด้วยกับมหาทานที่พระราชาทรงจัดทำในครั้งนี้  และได้กล่าวอนุโมทนาทานนี้   ในที่สุดภัตกิจของพระศาสดา  พระราชาทรงรับบาตรเพื่อให้พระศาสดาตรัสอนุโมทนา    พระศาสดาทรงทราบว่ากาฬอำมาตย์ไม่เห็นด้วยกับมหาทานครั้งนี้  และหากพระองค์ทรงกล่าวอนุโมทนกถาชมเชยมหาทานยืดยาวนักก็จะไปขัดใจกาฬอำมาตย์  และจะส่งผลให้กาฬอำมาตย์โกรธและไปตกนรกได้  พระศาสดาต้องการจะอนุเคราะห์แก่กาฬอำมาตย์จึงตรัสอนุโมทนกถาแต่เพียงสั้นๆ จากนั้นได้เสด็จกลับพระเชตวัน

พระราชามีพระประสงค์จะให้พระศาสดาทรงกล่าวอนุโมทนกถายาวๆ แต่เมื่อพระศาสดาทรงกล่าวอนุโมทนกถาสั้นๆเช่นนี้  ก็มีความสงสัยว่าได้ทรงดำเนินการขาดตกบกพร่องอะไรไปหรือไม่  จึงเสด็จไปทูลถามพระศาสดา  พระศาสดาตรัสกับพระราชาว่า “ “มหาบพิตร  พระองค์ถวายทานอันสมควรแล้วทีเดียว  ก็ทานนั่น  ชื่ออสทิสทาน  ใครๆอาจเพื่อถวายแด่พระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง  ครั้งเดียวเท่านั้น  ธรรมดาทานเห็นปานนี้  เป็นของยากที่บุคคลจะถวายอีก”  แต่ที่พระองค์ทรงกล่าวอนุโมทนกถาสั้นๆนั้นเพราะ “บริษัทไม่บริสุทธิ์”  และได้ตรัสบอกถึงความคิดคัดค้านทานของกาฬอำมาตย์ และความคิดเห็นด้วยกับทานของชุณหอำมาตย์ให้พระราชาทรงทราบ    เมื่อพระราชาสืบสวนจนเป็นที่แน่ชัดแล้ว  ก็รับสั่งให้เนรเทศกาฬอำมาตย์นั้นออกจากแว่นแคว้น  และพระราชทานราชทรัพย์ให้แก่ชุณหอำมาตย์เพื่อจัดถวายทานเป็นเวลา 7 วัน  กับได้ทรงมอบราชสมบัติให้ชุณหอำมาตย์ครอบครองเป็นเวลา 7 วันด้วย  

จากนั้นพระราชาได้กราบทูลพระศาสดาว่า  “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  ขอพระองค์จงทอดพระเนตการทำของคนพาล  เขาได้ให้ความลบหลู่ในทาน  ที่หม่อมฉันถวายแล้ว”

พระศาสดาตรัสว่า  “อย่างนั้น  มหาบพิตร  ขึ้นชื่อว่าพวกคนพาล  ไม่ยินดีทานของผู้อื่น  เป็นผู้มีทุคติเป็นที่ไป ณ เบื้องหน้า  ส่วนนักปราชญ์อนุโมทนาทานแม้ของชนเหล่าอื่น  จึงเป็นผู้มีสวรรค์เป็นที่ไป ณ เบื้องหน้าโดยแท้”

จากนั้น  พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท  พระคาถานี้ว่า

น   เว  กทริยา  เทวโลกํ  วชนฺติ
พาลา  หเว  นปฺปสํสนฺติ  ทานํ
ธีโร  จ  ทานํ  อนุโมทมาโน
เตเนวะ  โส  โหติ  สุขี  ปรตฺถ  ฯ

พวกคนตระหนี่  จะไปสู่เทวโลกไม่ได้เลย
พวกชนพาลแล  ย่อมไม่สรรเสริญทาน
ส่วนนักปราชญ์  อนุโมทนาทานอยู่
เพราะเหตุนั้นนั่นเอง
นักปราชญ์นั้น จึงเป็นผู้มีสุขในโลกหน้า.

เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง   ชุณหอำมาตย์ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล   พระธรรมเทศนามีประโยชน์แก่บริษัทผู้ประชุมกัน  ชุณหอำมาตย์  ครั้นเป็นพระโสดาบันแล้ว  ได้ถวายทานอย่างที่พระราชาถวายแล้วสิ้น 7 วันเหมือนกัน.

No comments:
Write comments