KEATHADHAMMABOTHTHAI

nousambath855@gmail.com

เรียบเรียงโดย จงฺกมรกฺขิโต นู สมบัติ keathadhammaboththai.blogspot.com

อ่านเรื่องในคาถาธรรมบท ๓๐๒ เรื่อง บล็กนี้เรียบเรียงโดย ภิกฺขุ จงฺกมรกฺขิโต นู สมบัติ ขออนุโมทนาบุญทุกย่าง ! Email: nousambath855@gmail.com

July 16, 2017

๙.เรื่องนางจิญจมาณวิกา

Posted by   on Pinterest

เรื่องนางจิญจมาณวิกา



พระศาสดา  เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน  ทรงปรารภนางจิญจมาณวิกา  ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า  เอกธมฺมมตีตสฺส เป็นต้น

ในปฐมโพธิกาล   พระศาสดาทรงแสดงธรรมโปรดแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย  มีพวกเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายได้บรรลุอริยภูมิในชั้นต่างๆมีโสดาปัตติผลเป็นต้น  พระเกียรติคุณของพระศาสดาจึงได้ขจรขจายไปทั่วสารทิศ   ลาภและสักการะเป็นอันมากได้บังเกิดแด่พระศาสดา  เป็นที่ริษยาของบรรดาเดียรถีร์ทั้งหลาย   คนเหล่านี้จึงได้วางแผนที่จะทำลายเกียรติภูมิชื่อเสียงของพระศาสดา     โดยใช้นางงามชื่อจิญจมาณวิกาหนึ่งในศิษย์คนสำคัญของพวกเดียรถีร์เป็นเครื่องมือ  พวกเขากล่าวกับนางงามผู้นี้ว่า  “น้องหญิง  ถ้าเจ้าปรารถนาความสุขแก่เราทั้งหลายไซร้  จงยังโทษให้เกิดขึ้นแก่พระสมณโคดมแล้ว  ยังลาภสักการะให้ฉิบหายเพราะอาศัยตน”  ในเย็นวันนั้นเอง  นางงามก็เริ่มทำตามแผน “นารีพิฆาต”  โดยนางมีมือถือดอกไม้และของหอมเป็นต้นเดินไปทางวัดพระเชตวัน  เมื่อคนทั้งหลายถามนางว่าจะไปไหน  นางก็ตอบว่า “พวกท่านอย่ารู้เลย”  จากนั้นนางก็ไปยังที่พำนักของพวกเดียรถีร์ซึ่งอยู่ใกล้เคียงกับวัดพระเชตวัน    และนางก็จะเดินกลับออกมาในช่วงเช้าวันรุ่งขึ้นโดยทำทีประหนึ่งว่านางเข้าไปนอนค้างแรมในวัดพระเชตวัน  เมื่อมีคนถามในช่วง 1-2 เดือนแรก นางก็จะบอกว่า  “ข้าพเจ้าไปค้างแรมกับพระสมณโคดม  ในพระคันธกุฎี  ในวัดพระเชตะวัน”  หลังจากเวลาผ่านไป 3-4 เดือน  นางก็นำผ้ามาผูกไว้ที่ท้องทำทีว่านางเริ่มตั้งครรภ์  และสร้างข่าวลือว่านางตั้งครรภ์กับพระศาสดา  เมื่อเวลาผ่านไป 8-9 เดือน  นางก็นำไม้กลมๆมาผูกที่ท้องห่มผ้าทับไว้บ้างบน   ให้ทุบหลังมือและเท้าด้วยไม้คางโค  ให้มีอาการบวมตามร่างกาย  เหมือนหญิงครรภ์แก่ใกล้คลอด  จนถึงวันหนึ่ง  ในขณะที่พระศาสดาประทับนั่งแสดงธรรมบนธรรมาสน์  นางงามก็ไปสู่ธรรมสภา  ยืนตรงพระพักตร์ของพระศาสดา  กล่าว่า “  มหาสมณะ  พระองค์ดีแต่แสดงธรรมแก่มหาชน  เสียงของพระองค์ไพเราะ  พระโอษฐ์ของพระองค์สนิท  ส่วนหม่อมฉัน อาศัยพระองค์ได้เกิดมีครรภ์ครบกำหนดแล้ว  พระองค์ไม่ยอมจัดการหาสถานที่คลอดของหม่อมฉัน  ไม่ทรงจัดหาอุปกรณ์เครื่องบริหารครรภ์มีเนยใสและน้ำมันเป็นต้น  เมื่อไม่ทรงทำเอง  ก็น่าตรัสบอกพระเจ้าโกศล  อนาถบิณฑิกเศรษฐี หรือนางวิสาขามหาอุบาสิกา  คนใดคนหนึ่ง จัดการให้  พระองค์ทรงรู้แต่จะอภิรมย์เท่านั้น  ไม่ทรงรู้ในการจัดการบริหารครรภ์”  พระศาสดาทรงหยุดแสดงธรรมชั่วขณะ  และตรัสว่า “ น้องหญิง  ความที่คำอันเจ้ากล่าวแล้ว  จะจริงหรือไม่  เราและเจ้าเท่านั้น  ย่อมรู้”  นางงามตอบว่า “ ถูกต้อง  มหาสมณะ    คนอื่นจะรู้ได้อย่างไร  พระองค์และหม่อมฉันเท่านั้นที่รู้”  ทันใดนั้นเอง  เท้าสักกะเทวราช  ทรงทราบเหตุร้ายเกิดขึ้นที่วัดพระเชตวัน  จึงได้เสด็จจากสวรรค์มาที่นั่น   แล้วมีเทวบัญชาให้เทพบุตรจำแลงกายเป็นหนูปีนขึ้นไปกัดเชือกที่ผูกท่อนไม้กลมที่ท้องของนางงาม  เมื่อเชือกผูกถูกกัดขาด  ท่อนไม้กลมนั้นก็หลุดหล่นลงมาทับที่ปลายเท้าของนางงาม  เมื่อความลับของนางงามถูกเปิดเผย  ชาวบ้านก็ได้ร้องตะโกนสาปแช่ง  “นางกาลกัณณี   เจ้าใส่ร้ายพระสัมมาสัมพุทธเจ้า”  บ้างถ่มน้ำลายรดศีรษะของนาง  บ้างหยิบก้อนดิน บ้างหยิบท่อนไม้  วิ่งขับไล่นางงามออกจากพระเชตวัน  ตามเรื่องในพระคัมภีร์บรรยายในช่วงที่นางงามถูกธรณีสูบและไปเกิดในอเวจีมหานรกว่า “ครั้นในเวลานางล่วงคลองพระเนตรของพระตถาคตไป  แผ่นดินใหญ่แตกแยกเป็นช่องแล้ว  เปลวไฟตั้งขึ้นจากอเวจี  นางจิญจมาณวิกานั้น  ไปเกิดในอเวจี  เป็นเหมือนห่มผ้ากัมพลที่ตระกูลให้”

ในวันรุ่งขึ้น  ภิกษุทั้งหลายสนทนากันในธรรมสภา  ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับนางจิญจมาณวิกา  พระศาสดาได้ทรงสอบถามเรื่องและประเด็นของการสนทนา และตรัสว่า  “ภิกษุทั้งหลาย  มิใช่แต่บัดนี้เท่านั้น  ถึงในกาลก่อน  นางจิญจมาณวิกา  ก็ด่าเราด้วยคำไม่จริง  ถึงความพินาศแล้วเหมือนกัน”  แล้วตรัสเล่าเรื่องในมหาปทุมชาดก  ในทวาทสบิบาต  ซึ่งในชาดกดังกล่าวเล่าถึงพฤติกรรมของนางจิญจมาณวิกาเมื่อครั้งเป็นพระมเหสีของพระราชาและเป็นพระมารดาเลี้ยงของมหาปทุมกุมารพระโพธิสัตว์  ใช้อุบายเพื่อให้พระโพธิสัตว์เป็นชู้กับตน  เมื่อพระโพธิสัตว์ปฏิเสธก็ได้ทำการกลั่นแกล้ง จนพระโพธิสัตว์ ถูกจับตัวไปทิ้งลงเหว  แต่ไม่ได้รับอันตรายเพราะพระยานาคช่วยชีวิตเอาไว้  และภายหลังพระโพธิสัตว์ได้กลับมาครองราชสมบัติ  ส่วนนางจิญจมาณวิกา(พระมเหสีของพระราชา) ถูกจับไปโยนลงเหวสิ้นพระชนม์

พระศาสดา เมื่อตรัสเล่ามหาปทุมชาดกจบลงแล้ว  ได้ตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย  บุคคลผู้ละคำสัตย์ซึ่งเป็นธรรมอย่างเอก  และไม่สนใจในสิ่งที่จะเกิดขึ้นในปรโลก  ชื่อว่าจักไม่ทำบาปกรรม ย่อมไม่มี”

จากนั้น  พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท  พระคาถานี้ว่า

เอกธมฺมมตีตสฺส
มุสาวาทิสฺส  ชนฺตุโน
วิติณฺณปรโลกสฺส
นตฺถิ  ปาปํ  อการิยํ  ฯ

บาปอันชนผู้ก้าวล่วงธรรมอย่างเอกเสีย
ผู้มักพูดเท็จ
ผู้มีปรโลกอันล่วงเลยเสียแล้ว
ไม่พึงทำ  ย่อมไม่มี.

เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง   ชนเป็นอันมาก  บรรลุอริยผลทั้งหลาย  มีโสดาปัตติผลเป็นต้น .

No comments:
Write comments