KEATHADHAMMABOTHTHAI

nousambath855@gmail.com

เรียบเรียงโดย จงฺกมรกฺขิโต นู สมบัติ keathadhammaboththai.blogspot.com

อ่านเรื่องในคาถาธรรมบท ๓๐๒ เรื่อง บล็กนี้เรียบเรียงโดย ภิกฺขุ จงฺกมรกฺขิโต นู สมบัติ ขออนุโมทนาบุญทุกย่าง ! Email: nousambath855@gmail.com

July 16, 2017

๙.เรื่องบุตรเศรษฐีมีทรัพย์มาก

Posted by   on Pinterest

เรื่องบุตรเศรษฐีมีทรัพย์มาก



พระศาสดา  เมื่อประทับนั่งที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน  ทรงปรารภบุตรเศรษฐีผู้มีทรัพย์มาก    ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า  อจริตฺวา  พฺรหฺมจริยํ  เป็นต้น

บุตรชายของเมหาธนศรษฐีในกรุงพาราณสี  ไม่ได้ศึกษาเล่าเรียนเมื่อตอนที่อยู่ในวัยเด็ก  เมื่อตอนเติบโตเป็นหนุ่ม  ได้แต่งงานกับบุตรสาวของเศรษฐี  ซึ่งก็เป็นหญิงที่ไม่ได้รับการศึกษาเช่นเดียวกับเขา   เมื่อบิดามารดาของทั้งสองฝ่ายเสียชีวิตแล้ว  ทั้งสองคนได้เป็นทายาทรับมรดกตกทอดจากตระกูลเศรษฐีของตนๆเป็นจำนวนมาก  ทำให้ทรัพย์สินที่นำมารวมกันมีจำนวนมากมาย   แต่ทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิงต่างเป็นคนไม่มีความรู้ด้านหนังสือ  รู้อย่างเดียวคือรู้แต่วิธีการใช้แต่เงิน  ไม่รู้วิธีจะเก็บรักษาเงิน  หรือวิธีทำเงินให้งอกเงย  ทั้งสองคนจึงเอาแต่กิน  ดื่ม  และสนุกสนาน  ล้างผลาญเงินทองที่มีอยู่  เมื่อเงินทองที่มีอยู่หมดสิ้นแล้ว  ทั้งสองก็ได้ขายทรัพย์สินต่างๆ เช่น  เรือกสวนไร่นา  ตลอดจนบ้านเรือน  และในที่สุดทั้งสองคนก็กลายเป็นคนยากจนอนาถา  และเพราะเหตุที่ทั้งสองคนไม่รู้วิธีที่จะทำมาหาเลี้ยงชีพอย่างหนึ่งอย่างใด  จึงได้ยึดอาชีพเป็นขอทาน    อยู่มาวันหนึ่ง  พระศาสดาได้ทอดพระเนตรเห็นบุตรชายของเศรษฐียืนอยู่ที่ประตูโรงฉัน  คอยรับเศษอาหารที่ภิกษุหนุ่มและสามเณรน้อยให้  จึงทรงแย้มพระโอษฐ์  พระอานนท์ได้กราบทูลถามถึงสาเหตุของการที่ทรงแย้มพระโอษฐ์นั้น  พระศาสดาตรัสว่า “ อานนท์  เธอจงดูบุตรเศรษฐีผู้มีทรัพย์มากผู้นี้  ผลาญทรัพย์เสีย  160 โกฏิ  พาภรรยาเที่ยวขอทานอยู่ในพระนครนี้แล  ก็ถ้าบุตรเศรษฐีนี้  ไม่ผลาญทรัพย์ให้หมดสิ้น  จักประกอบการงานในปฐมวัย  ก็จักได้เป็นเศรษฐีชั้นเลิศในนครนี้แล  แลถ้าจักออกบวช  ก็จักบรรลุอรหัต  แม้ภรรยาของเขา  ก็จักดำรงอยู่ในอนาคามิผล  ถ้าไม่ผลาญทรัพย์ให้หมดไป  จักประกอบการงานในมัชฌิมวัย  จักได้เป็นเศรษฐีชั้นที่ 2  ออกบวช  จักเป็นอนาคามี  แม้ภรรยาของเขา  ก็จักดำรงอยู่ในสกทาคามิผล  ถ้าไม่ผลาญทรัพย์ให้สิ้นไป  ประกอบการงานในปัจฉิมวัย  จักได้เป็นเศรษฐีชั้นที่ 3  แม้ออกบวช  ก็จักได้เป็นสกทาคามี  แม้ภรรยาของเขา  ก็จักดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล  แต่เดี๋ยวนี้  บุตรเศรษฐีนั่น  ทั้งเสื่อมจากโภคะของคฤหัสถ์  ทั้งเสื่อมแล้วจากสามัญผล  ก็แลครั้นเสื่อมแล้ว  จึงเป็นเหมือนนกกะเรียนในเปือกตมแห้งฉะนั้น”

จากนั้น  พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท  สองพระคาถานี้ว่า

อจริตฺวา  พฺรหฺมจริยํ
อลทฺธา  โยพฺพเน  ธนํ
ชิณฺณโกญจาวฌายนฺติ
ขีณมจฺเฉว  ปลฺลเล ฯ

พวกคนเขลา  ไม่ประพฤติพรหมจรรย์
ไม่ได้ทรัพย์ในคราวยังเป็นหนุ่มสาว
ย่อมซบเซาดังนกกะเรียนแก่
ซบเซาอยู่ในเปือกตมที่หมดปลา ฉะนั้น.


อจริตฺวา  พฺรหฺมจริยํ
อลทฺธา  โยพฺพเน  ธนํ
เสนติ  จาลาติขีณาว
ปุราณานิ   อนุตฺถุนํ  ฯ

พวกคนเขลา  ไม่ประพฤติพรหมจรรย์
ไม่ได้ทรัพย์ในคราวยังเป็นหนุ่มสาว
ย่อมนอนทอดถอนถึงทรัพย์เก่า
เหมือนลูกศรที่ตกจากแล่ง ฉะนั้น.

เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง  ชนเป็นอันมาก  บรรลุอริยผลทั้งหลาย  มีโสดาปัตติผลเป็นต้น.

No comments:
Write comments