KEATHADHAMMABOTHTHAI

nousambath855@gmail.com

เรียบเรียงโดย จงฺกมรกฺขิโต นู สมบัติ keathadhammaboththai.blogspot.com

อ่านเรื่องในคาถาธรรมบท ๓๐๒ เรื่อง บล็กนี้เรียบเรียงโดย ภิกฺขุ จงฺกมรกฺขิโต นู สมบัติ ขออนุโมทนาบุญทุกย่าง ! Email: nousambath855@gmail.com

July 18, 2017

๘.เรื่องเดียรถีย์

Posted by   on Pinterest

เรื่องเดียรถีย์



พระศาสดา  เมื่อประทับอยู่ในพระเชตะวัน  ทรงปรารภพวกเดียรถีย์  ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า  น  โมเนน  เป็นต้น

พวกเดียรถีย์   จะกล่าวคำอำนวยอวยพร  แก่คนที่นำสิ่งของหรืออาหารมาให้   ว่า   “ความเกษมจงมี  ความสุขจงมี  อายุจงเจริญ  ในที่ชื่อโน้นมีเปือกตม  ในที่ชื่อโน้นมีหนาม  การไปสู่ที่เห็นปานนั้นไม่ควร”  ในขณะนั้น   เป็นช่วงปฐมโพธิกาล (ช่วง 25 ปีแรกหลังจากตรัสรู้) พระศาสดายังไม่ทรงอนุญาตวิธีอนุโมทนา  ภิกษุทั้งหลาย  จึงยังไม่ทำอนุโมทนาแก่พวกมนุษย์ในโรงฉัน  พวกมนุษย์จึงพูดกันว่า  “พวกเราได้ฟังมงคลแต่สำนักของเดียรถีย์ทั้งหลาย  แต่พระผู้เป็นเจ้าทั้งหลายนิ่งเฉยหลีกไปเสีย”  ภิกษุทั้งหลายจึงนำความขึ้นกราบทูลพระศาสดา

พระศาสดาจึงทรงอนุญาตว่า “ ภิกษุทั้งหลาย  ตั้งแต่นี้ไป  ท่านทั้งหลาย  จงทำอนุโมทนา  ในที่ทั้งหลายมีโรงฉันเป็นต้น  ตามสบายเถิด  จงกล่าวอุปนิสินนกถา(ถ้อยคำที่กล่าวกับบุคคลผู้เข้าใกล้) เถิด”   และภิกษุทั้งหลายได้กระทำตามพุทธานุญาตแล้ว  โดยได้กล่าวคำอำนวยอวยพรแก่ญาติโยมที่ถวายทาน เพราะผลของการกล่าวคำอำนวยอวยพรของภิกษุทั้งหลายนี้เอง  จึงมีผู้คนมานิมนต์พระภิกษุทั้งหลายไปรับภัตตาหารมากขึ้นๆ   พวกเดียรถีย์กล่าวตำหนิว่า “ พวกเราเป็นมุนีทำความเป็นผู้นิ่ง  พวกสาวกของพระสมณโคดม  เที่ยวกล่าวกถามากมาย  ในที่ทั้งหลายมีโรงฉันเป็นต้น”

พระศาสดา  ทรงสดับความนั้นแล้ว  ตรัสว่า  “ภิกษุทั้งหลาย   เราไม่กล่าวว่ามุนี  เพราะเหตุสักว่าเป็นผู้นิ่ง

เพราะคนบางพวกไม่รู้  ย่อมไม่พูด   บางพวกไม่พูด  เพราะความเป็นผู้ไม่แกล้วกล้า   บางพวกไม่พูด  เพราะตระหนี่ว่า  คนเหล่าอื่นอย่ารู้เนื้อความอันดียิ่งนี้ของเรา  เพราะฉะนั้น  คนไม่ชื่อว่ามุนี  เพราะเหตุสักว่าเป็นคนนิ่ง  แต่ชื่อว่าเป็นมุนี  เพราะยังบาปให้สงบ”


จากนั้น  พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท  สองพระคาถานี้ว่า

น  โมเนน  มุนิ  โหติ
มุฬฺหรูโป  อวิทฺทสุ
โย จ  ตุลํว  ปคฺคยฺห
วรมาทาย  ปณฺฑิโต  ฯ

ปาปานิ  ปริวชฺเชติ
ส  มุนิ  เตน  โส  มุนิ
โย  มุนาติ  อุโภ  โลเก
มุนิ  เตน  ปวุจฺจติ  ฯ

บุคคลเขลา  ไม่รู้โดยปกติ
ไม่ชื่อว่าเป็นมุนี
เพราะความเป็นผู้นิ่ง
ส่วนผู้ใดเป็นบัณฑิต
ถือธรรมอันประเสริฐ  ดุจบุคคลประคองตราชั่ง.

เว้นบาปทั้งหลาย  ผู้นั้นเป็นมุนี  เพราะเหตุนั้น
ผู้ใดรู้อรรถทั้ง 2  ในโลก
ผู้นั้นเรากล่าวว่า  เป็นมุนี  เพราะเหตุนั้น.
ผู้นั้นเรากล่าว่า  เป็นมุนี  เพราะเหตุนั้น.

เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง   ชนเป็นอันมาก  บรรลุอริยผลทั้งหลาย  มีโสดาปัตติผลเป็นต้น

No comments:
Write comments