เรื่องเดียรถีย์
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตะวัน ทรงปรารภพวกเดียรถีย์ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า น โมเนน เป็นต้น
พวกเดียรถีย์ จะกล่าวคำอำนวยอวยพร แก่คนที่นำสิ่งของหรืออาหารมาให้ ว่า “ความเกษมจงมี ความสุขจงมี อายุจงเจริญ ในที่ชื่อโน้นมีเปือกตม ในที่ชื่อโน้นมีหนาม การไปสู่ที่เห็นปานนั้นไม่ควร” ในขณะนั้น เป็นช่วงปฐมโพธิกาล (ช่วง 25 ปีแรกหลังจากตรัสรู้) พระศาสดายังไม่ทรงอนุญาตวิธีอนุโมทนา ภิกษุทั้งหลาย จึงยังไม่ทำอนุโมทนาแก่พวกมนุษย์ในโรงฉัน พวกมนุษย์จึงพูดกันว่า “พวกเราได้ฟังมงคลแต่สำนักของเดียรถีย์ทั้งหลาย แต่พระผู้เป็นเจ้าทั้งหลายนิ่งเฉยหลีกไปเสีย” ภิกษุทั้งหลายจึงนำความขึ้นกราบทูลพระศาสดา
พระศาสดาจึงทรงอนุญาตว่า “ ภิกษุทั้งหลาย ตั้งแต่นี้ไป ท่านทั้งหลาย จงทำอนุโมทนา ในที่ทั้งหลายมีโรงฉันเป็นต้น ตามสบายเถิด จงกล่าวอุปนิสินนกถา(ถ้อยคำที่กล่าวกับบุคคลผู้เข้าใกล้) เถิด” และภิกษุทั้งหลายได้กระทำตามพุทธานุญาตแล้ว โดยได้กล่าวคำอำนวยอวยพรแก่ญาติโยมที่ถวายทาน เพราะผลของการกล่าวคำอำนวยอวยพรของภิกษุทั้งหลายนี้เอง จึงมีผู้คนมานิมนต์พระภิกษุทั้งหลายไปรับภัตตาหารมากขึ้นๆ พวกเดียรถีย์กล่าวตำหนิว่า “ พวกเราเป็นมุนีทำความเป็นผู้นิ่ง พวกสาวกของพระสมณโคดม เที่ยวกล่าวกถามากมาย ในที่ทั้งหลายมีโรงฉันเป็นต้น”
พระศาสดา ทรงสดับความนั้นแล้ว ตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย เราไม่กล่าวว่ามุนี เพราะเหตุสักว่าเป็นผู้นิ่ง
เพราะคนบางพวกไม่รู้ ย่อมไม่พูด บางพวกไม่พูด เพราะความเป็นผู้ไม่แกล้วกล้า บางพวกไม่พูด เพราะตระหนี่ว่า คนเหล่าอื่นอย่ารู้เนื้อความอันดียิ่งนี้ของเรา เพราะฉะนั้น คนไม่ชื่อว่ามุนี เพราะเหตุสักว่าเป็นคนนิ่ง แต่ชื่อว่าเป็นมุนี เพราะยังบาปให้สงบ”
จากนั้น พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท สองพระคาถานี้ว่า
น โมเนน มุนิ โหติ
มุฬฺหรูโป อวิทฺทสุ
โย จ ตุลํว ปคฺคยฺห
วรมาทาย ปณฺฑิโต ฯ
ปาปานิ ปริวชฺเชติ
ส มุนิ เตน โส มุนิ
โย มุนาติ อุโภ โลเก
มุนิ เตน ปวุจฺจติ ฯ
บุคคลเขลา ไม่รู้โดยปกติ
ไม่ชื่อว่าเป็นมุนี
เพราะความเป็นผู้นิ่ง
ส่วนผู้ใดเป็นบัณฑิต
ถือธรรมอันประเสริฐ ดุจบุคคลประคองตราชั่ง.
เว้นบาปทั้งหลาย ผู้นั้นเป็นมุนี เพราะเหตุนั้น
ผู้ใดรู้อรรถทั้ง 2 ในโลก
ผู้นั้นเรากล่าวว่า เป็นมุนี เพราะเหตุนั้น.
ผู้นั้นเรากล่าว่า เป็นมุนี เพราะเหตุนั้น.
เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง ชนเป็นอันมาก บรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น
No comments:
Write comments