KEATHADHAMMABOTHTHAI

nousambath855@gmail.com

เรียบเรียงโดย จงฺกมรกฺขิโต นู สมบัติ keathadhammaboththai.blogspot.com

อ่านเรื่องในคาถาธรรมบท ๓๐๒ เรื่อง บล็กนี้เรียบเรียงโดย ภิกฺขุ จงฺกมรกฺขิโต นู สมบัติ ขออนุโมทนาบุญทุกย่าง ! Email: nousambath855@gmail.com

July 18, 2017

๗.เรื่องสัมพหุลภิกษุ

Posted by   on Pinterest

เรื่องสัมพหุลภิกษุ



พระศาสดา  เมื่อทรงอาศัยป่าชื่อปาลิไลยกะ   ประทับอยู่ในไพรสณฑ์ชื่อรักขิตะ  ทรงปรารภภิกษุเป็นอันมาก  ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า  สเจ  ลเภถ เป็นต้น

ในกาลครั้งหนึ่ง  ภิกษุชาวกรุงโกสัมพี   เกิดการแตกแยกกันเป็นสองพวก  พวกหนึ่งสนับสนุนพระวินัยธร  อีกพวกหนึ่งสนับสนุนพระธรรมกถึก   ภิกษุทั้งสองกลุ่มไม่ยอมปรองดองกัน  แม้พระศาสดาจะทรงสั่งสอนให้ตกลงกันโดยสงบก็ตาม   ดังนั้น  พระศาสดาจึงได้ทรงปลีกพระองค์ไปประทับจำพรรษา ณ  ป่ารักขิตวัน  โดยมีช้างปาลิไลยกะทำหน้าที่เป็นพุทธอุปัฏฐาก

เมื่ออกพรรษาปวารณาแล้ว  พระอานนทเถระได้ไปที่ป่ารักขิตวันนั้น พร้อมด้วยภิกษุอีก 500  รูป   พระอานนทเถระได้ให้ภิกษุ 500 รูปเหล่านั้นรออยู่ข้างนอกก่อน   และได้เข้าไปเฝ้าพระศาสดาตามลำพัง   เมื่อพระศาสดามีรับสั่งให้พระอานนทเถระไปพาภิกษุ 500  รูปให้เข้ามาเฝ้าได้แล้ว   ภิกษุเหล่านั้นได้ทูลถามว่า   “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นพระพุทธเจ้าผู้สุขุมาล  และเป็นกษัตริย์ผู้สุขุมาล  พระองค์ผู้เดียวประทับยืนประทับนั่งตลอดไตรมาส  ทรงทำกรรมที่ทำได้โดยยากแล้ว  ผู้กระทำวัตรและวัตรปฏิบัติก็ดี  ผู้ถวายวัตถุมีน้ำบ้วนพระโอษฐ์เป็นต้นก็ดี  ชะรอยจะไม่มี”  จึงตรัสว่า  “ภิกษุทั้งหลาย  กิจทุกอย่าง ช้างชื่อปาลิไลยกะกระทำแล้วแก่เรา  อันที่จริง  การที่บุคคลเมื่อได้สหายผู้มีรูปเช่นนี้  อยู่ร่วมกัน  สมควรแล้ว  เมื่อบุคคลไม่ได้  ความเที่ยวไปคนเดียวเท่านั้นเป็นการประเสริฐ”

จากนั้น  พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท  สามพระคาถานี้ว่า

สเจ  สเภถ  นิปกํ  สหายํ
สทฺธึจรํ  สาธุวิหาริธีรํ

อภิภุยฺย  สพฺพานิ  ปริสฺสยานิ
จเรยฺย  เตนตฺตมโน  สตีมา ฯ

โน  เจ  ลเภถ  นิปกํ  สหายํ
สทฺธึจรํ  สาธุวิหาริธีรํ
ราชาว  รฏฺฐํ  วิชิตํ  ปหาย
เอโก  จเร  มาตงฺครญฺเญว  นาโค ฯ

เอกสฺส  จริตํ  เสยฺโย
นตฺถิ  พาเล  สหายตา
เอโก  จเร  น  จ  ปาปานิ  กยิรา
อปฺโปสฺสุโก  มาตงฺครญฺเญว  นาโค  ฯ

ถ้าว่า   บุคคลพึงได้สหายผู้มีปัญญาเครื่องรักษาตัว
มีธรรมเครื่องอยู่อันดีไว้เป็นผู้เที่ยวไปด้วยกันไซร้
เขาพึงครอบงำอันตรายทั้งสิ้นเสียแล้ว
พึงเป็นผู้มีใจยินดี  มีสติ  เที่ยวไปกับสหายนั้น.

หากว่าบุคคลไม่พึงได้สหายผู้มีปัญญาเครื่องรักษาตัว
 มีธรรมเครื่องอยู่อันดี  เป็นนักปราชญ์
ไว้เป็นผู้เที่ยวไปด้วยกันไซร้
เขาพึงเที่ยวไปคนเดียว  เหมือนพระราชาทรงละแว่นแคว้น
ที่ทรงชนะเด็ดขาดแล้ว  หรือเหมือนช้างชื่อว่ามาตังคะละโขลงช้าง
เที่ยวไปในป่าตัวเดียวฉะนั้น.

ความเที่ยวไปแห่งคนเดียวประเสริฐกว่า
เพราะคุณเครื่องเป็นสหายไม่มีในชนพาล
บุคคลพึงเป็นผู้ๆเดียวเที่ยวไป
เหมือนช้างชื่อมาตังคะ  ตัวมีความขวนขวายน้อยเที่ยวไปอยู่ในป่าฉะนั้น
และไม่พึงทำบาปทั้งหลาย.

เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง  ภิกษุเหล่านั้นแม้ทั้ง  500  รูป  บรรลุพระอรหัตตผลแล้ว.

No comments:
Write comments