เรื่องพระโลฬุทายีเถระ
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพระโลฬุทายีเถระ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า อปฺปสฺสุตายํ ปุริโส เป็นต้น
พระโลฬุทายี เมื่อรับนิมนต์ไปที่บ้านของประชาชนที่เขาจัดงานมงคล ก็จะสวดบทมนต์สำหรับใช้ในงานอวมงคล เช่น ติโรกุฑฑสูตร ที่ขึ้นต้นว่า ติโรกุฑฺเฑสุ ติฏฺฐฺนติ เป็นต้น แต่เมื่อไปในงานอวมงคล เมื่อควรสวดด้วยติโรกุฑฑสูตร กลับสวดด้วยมงคลกถา ที่มีข้อความเป็นต้นว่า ทานญฺจ ธมฺมจริยา จ หรือ รัตนสูตร ที่มีข้อความเป็นต้นว่า ยงฺกิญจิ วิตฺตํ อิธ วา หุรํ วา เป็นต้น พวกภิกษุทั้งหลาย ฟังบทสวดของท่านแล้ว จึงกราบทูลพระศาสดา ให้ทรงทราบ พระศาสดาตรัสว่า พระโลฬุทายีควรกล่าวนี้ แต่ไพล่ไปกล่าวเสียอีกอย่าง เป็นการกระทำที่มิใช่เกิดขึ้นเฉพาะในชาตินี้ แม้แต่ในอดีตชาติพระโลฬุทายีก็เคยกระทำเช่นนี้มาเหมือนกัน เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่าสนใจจะได้ฟังอดีตชาติของพระโลฬุทายี พระศาสดาจึงทรงนำมาเล่าให้ฟัง แล้วสรุปในช่วงท้ายว่า “ภิกษุทั้งหลาย โลฬุทายีนี้ เมื่อคำอื่นอันตนควรพูด ก็ไพล่พูดคำอื่นเสีย มิใช่แต่บัดนี้เท่านั้น แม้ในกาลก่อน เธอก็พูดแล้ว เพราะความที่ตนเป็นคนมีธรรมได้สดับน้อย เพราะว่าคนมีสุตะน้อย ชื่อว่าเหมือนโคถึก”
จากนั้น พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถานี้ว่า
อปฺปสฺสุตายํ ปุริโส
พลิพทฺโทว ชีรติ
มํสานิ ตสฺส วฑฺฒนฺติ
ปญฺญา ตสฺส น วฑฺฒนฺติ ฯ
คนมีสุตะน้อย
ย่อมแก่เหมือนโคถึก
เนื้อของเขาย่อมเจริญ
แต่ปัญญาของเขาหาเจริญไม่.
เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง ชนเป็นอันมาก บรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น.
No comments:
Write comments