เรื่องมารดาของพระกุมารกัสสปเถระ
พระศาสดา เมื่อประทับอยู๋ในพระเชตะวัน ทรงปรารภมารดาของพระกุมารกัสสปเถระ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า “อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ” เป็นต้น
ธิดาเศรษฐีในกรุงราชคฤห์ผู้หนึ่ง ได้ไปขออนุญาตสามีเพื่อบวชเป็นภิกษุณี เมื่อเข้าไปบวชนั้นได้ไปอยู่ในสำนักของนางภิกษุณีของฝ่ายพระเทวทัตเพราะความไม่รู้ ธิดาเศรษฐีผู้นี้ตั้งครรภ์มาตั้งแต่ก่อนบวชเป็นภิกษุณีแต่นางไม่รู้ พอเข้าไปอยู่ในสำนักภิกษุณีไม่นานครรภ์ของนางก็เริ่มโตขึ้นๆ พวกภิกษุณีทั้งหลายจึงพานางเข้าไปพบพระเทวทัต พระเทวทัตก็ได้สั่งให้นางสึกออกไปเป็นคฤหัสถ์ดังเดิม แต่นางได้แจ้งแก่ภิกษุณีอื่นๆว่า นางไม่ได้ตั้งใจบวชเป็นภิกษุณีอยู่ในฝ่ายพระเทวทัต แต่มาอยู่เพราะความไม่รู้ ขอท่านได้โปรดพานางไปเข้าเฝ้าพระศาสดาที่พระเชตะวันด้วยเถิด ต่อมานางก็ได้ถูกพาตัวไปเข้าเฝ้าพระศาสดา พระศาสดาทรงทราบเป็นอย่างดีว่า นางตั้งครรภ์ตั้งแต่ก่อนที่จะมาบวชเป็นภิกษุณี แต่เพื่อจะไม่ให้เกิดข้อครหาในภายหลัง จึงได้รับสั่งให้คนไปเชิญพระเจ้าปเสนทิโกศล มหาอนาถปิณฑิกเศรษฐี จุลลอนาถปิณฑิกเศรษฐี นางวิสาขา และบุคคลในตระกูลใหญ่อื่นๆมาเฝ้า แล้วรับสั่งให้พระอุบาลีเถระชำระอธิกรณ์ในครั้งนี้ นางวิสาขาได้นำนางภิกษุณีผู้มีครรภ์เข้าไปอยู่ในม่าน แล้วทำการตรวจสอบตามมือเท้าสะดือและท้องของนางก็แน่ใจว่านางตั้งครรภ์มาตั้งแต่ตอนเป็นฆราวาส จึงได้นำเรียนพระอุบาลีได้ทราบ พระอุบาลีจึงได้ประกาศในท่ามกลางคณะบุคคลที่ชุมนุม ณ ที่นั้นว่า นางภิกษุณีเป็นผู้บริสุทธิ์ เมื่อตั้งครรภ์ครบ 10 เดือน นางภิกษุณีก็ได้คลอดบุตรเป็นเพศชาย และถูกพระเจ้าปเสนทิโกศลนำไปทรงเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม และทรงตั้งชื่อให้ว่า กุมารกัสสปะ เมื่อทารกกุมารกัสสปะอายุได้ 7 ขวบ และทราบว่ามารดาของตนเป็นภิกษุณี ก็ได้ออกบวชเป็นสามเณร อยู่ในสำนักของพระศาสดา เมื่อได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุแล้วจึงได้นามว่า กุมารกัสสปเถระ ท่านกุมารกัสสปเถระ ได้เรียนพระกัมมัฏฐานจากพระศาสดาแล้วเข้าอยู่ในป่า และได้บำเพ็ญสมณธรรมอย่างไม่ลดละ ชั่วเวลาไม่นานนักก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ หลังจากสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว ท่านก็ยังอยู่ในป่าต่อไปเป็นเวลา 12 ปี
ข้างภิกษุณีผู้มารดาของพระกุมารกัสสปเถระ ไม่ได้พบพระเถระผู้บุตรเป็นเวลายาวนานถึง 12 ปี ก็มีความกระหายใคร่พบพระเถระเป็นอย่างมาก อยู่มาวันหนึ่ง ขณะที่นางกำลังเดินบิณฑาตอยู่นั้น ได้แลเห็นพระเถระผู้บุตรเดินอยู่ที่ถนน ก็วิ่งตามพระเถระพลางร้องให้เรียกชื่อพระเถระไปพลาง พระกุมารกัสสปเถระ เมื่อเห็นเป็นมารดา ก็คิดว่า หากว่าท่านพูดดีด้วยกับมารดา นางก็จะยึดติดอยู่กับตัวท่านอยู่ ก็จะเป็นการทำลายอนาคตของนาง ดังนั้นเพื่อผลประโยชน์ในอนาคตคือการบรรลุนิพพานของมารดา พระเถระจึงได้กล่าวาจาหยาบคายออกไปว่า “ท่านมัวทำอะไรอยู่หรือ แค่ความรักเล็กน้อยในบุตร ท่านก็ยังตัดไม่ได้” เมื่อได้ยินคำพูดของบุตรเช่นนั้น นางภิกษุณีถึงกับตะลึง คิดไม่ถึงว่าจะได้ยินคำพูดเช่นนั้นจากปากของบุตร นางรำพึงในใจว่า “เราร้องไห้ถึงบุตรนี้มาเป็นเวลานานถึง 12 ปี แต่เขากลับเป็นคนใจดำกับเรา จะมีประโยชน์อะไรที่เราจะไปมัวรักมัวพะวงถึงเขา “ พอคิดได้เช่นนี้ นางก็ตัดความรักในบุตร และก็ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ในวันเดียวกันนั้นเอง
อยู่มาวันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายได้ตั้งกระทู้ถามกันในธรรมสภาว่า “ท่านทั้งหลาย พระกุมารกัสสปเถระ และพระเถรีเป็นคนดีแท้ๆ แต่ถูกพระเทวทัตทำลาย ดีแต่ว่าพระศาสดาไดเข้าช่วยเกื้อหนุนอุ้มชูไว้จึงเป็นอย่างนี้ได้ น่าอัศจรรย์จริง ที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงช่วยเหลือชาวโลก” เมื่อพระศาสดาได้ทราบในกระทู้ของการสนทนา ได้ตรัสว่า มิใช่แต่ในชาตินี้เท่านั้นที่พระองค์ เก้อหนุนอุ้มบุคคลทั้งสองไว้ แม้ในอดีตพระองค์ก็เคยช่วยมาแล้ว และได้ตรัสนิโครธชาดก ที่กล่าวถึงแม่เนื้อซึ่งกำลังครรภ์แก่ได้รับความช่วยเหลือจากพระยาเนื้อจนไม่ต้องขึ้นเขียงตายทั้งกลม ต่อจากนั้นก็ได้ตรัสว่า การที่พระเถรีตัดความรักในบุตรแล้วหันมาพึ่งตนเองนั้น เป็นสิ่งงถูกต้อง เพราะ “ภิกษุทั้งหลาย คนจะไปสวรรค์ หรือจะบรรลุพระนิพพานได้นั้น จะต้องพึ่งตนเอง จะไปพึ่งคนอื่นไม่ได้”
จากนั้น พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถานี้ว่า
อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ
โก หิ นาโถ ปโร สิยา
อตฺตนา หิ สุทนฺเตน
นาถํ ลภติ ทุลฺลภํ ฯ
ตนแลเป็นที่พึ่งของตน บุคคลอื่นใครเล่า
พึงเป็นที่พึ่งได้ เพราะบุคคลมีตนฝึกฝนดีแล้ว
ย่อมได้ที่พึ่ง ที่บุคคลได้โดยยาก.
เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง ชนเป็นอันมาก บรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น.
No comments:
Write comments