เรื่องพระมหากัปปินเถระ
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพระมหากัปปินเถระ ตรัสพระธรรมบท พระคาถาที่ 79 นี้
ท่านมหากัปปินเถระ เป็นกษัตริย์อยู่ในกุกกุฏวดีนคร พระองค์ทรงมีพระมเหสีพระนามว่าอโนชา (ดอกอังกาบ) พระเจ้ามหากัปปินะมีอำมาตย์ที่เป็นข้าราชบริพารจำนวน 1000 คน ทำหน้าที่ช่วยเหลือพระองค์ในการปกครองประเทศ วันหนึ่งพระราชาพร้อมด้วยอำมาตย์ผู้เป็นข้าราชบริพารได้เสด็จประพาสอุทยาน ทรงได้พบกับพวกพ่อค้าจำนวน 500 คนมาจากกรุงสาวัตถี ทำให้ทรงทราบว่าพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ได้อุบัติขึ้นแล้วในโลก พระองค์พร้อมด้วยข้าราชบริพารจึงได้เสด็จไปที่นครสาวัตถี
ในวันนั้นพระศาสดาได้ตรวจดูสัตวโลกด้วยพระญาณพิเศษในเวลาใกล้รุ่ง ได้ทอดพระเนตรเห็นพระมหากัปปินะพร้อมทั้งข้าราชบริพารเสด็จมาที่นครสาวัตถี พระศาสดาทรงทราบด้วยว่า พระเจ้ามหากัปปินะพร้อมทั้งข้าราชบริพารทั้งหมดจะได้บรรลุพระอรหัตตผล จึงได้เสด็จไปต้อนรับเป็นระยะทางห่างจากกรุงสาวัตถีถึง 120 โยชน์ โดยได้ประทับนั่งเปล่งพระฉัพพรรณรังสี ณ ภายใต้โคนต้นนิโครธ(ต้นไทร) ริมฝั่งแม่น้ำจันทภาคานที พระเจ้ามหากัปปินะและข้าราชบริพารได้เสด็จมาถึงที่ซึ่งพระศาสดาทรงรอต้อนรับอยู่นั้น เมื่อพระเจ้ากัปปินและข้าราชบริพารทอดพระเนตรเห็นฉัพพรรณรังสีแผ่ซ่านออกจากพระสรีระของพระศาสดา ก็ได้เข้าไปถวายบังคม จากนั้นพระศาสดาได้แสดงอนุปุพพีกถา(ทานกถา, สีลกถา, สัคคกถา, กามทีนวกถา, เนกขัมมานิสังสกถา) ให้ฟัง หลังจากฟังพระธรรมเทศนานั้นแล้ว พระเจ้ามหากัปปินะพ้อมทั้งข้าราชบริพารได้บรรลุพระโสดาปัตติผล แล้วทูลขอบรรพชาอุปสมบทจากพระศาสดา พระศาสดาทรงใคร่ครวญแล้วทรงทราบว่า “กุลบุตรเหล่านี้ ได้เคยถวายจีวรพันผืน แด่พระปัจเจกพุทธเจ้าพันองค์ ในกาลแห่งพระพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสปะ ได้ถวายจีวรสองหมื่นผืน แก่ภิกษุสองหมื่นรูป ความมาแห่งบาตรและจีวรอันสำเร็จแล้วด้วยฤทธิ์ของกุลบุตรเหล่านี้ ไม่น่าอัศจรรย์” จึงทรงเหยียดพระหัตถ์ขวา ตรัสว่า “ท่านทั้งหลายจงเป็นภิกษุมาเถิด ท่านทั้งหลายจงประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบเถิด” ทันใดนั้นเองพระเจ้ามหากัปปินะพร้อมทั้งข้าราชบริพารทั้งหมดก็ได้บวชเป็นภิกษุ
ในขณะเดียวกัน พระนางอโนชาเมื่อได้ทรงทราบว่า พระราชาพร้อมด้วยข้าราชบริพารฝ่ายชายได้เสด็จไปที่เมืองสาวัตถีกันหมดแล้ว ก็ได้รับสั่งให้ภรรยาของอำมาตย์ทั้ง 1000 คนมาเฝ้าแล้วทรงแจ้งเรื่องนี้ให้ทุกคนได้ทราบ แล้วพระนางพร้อมด้วยข้าราชบริพารฝ่ายหญิงทั้งหมดก็ได้เสด็จตามเส้นทางที่พระเจ้ากัปปินพร้อมข้าราชบริพารฝ่ายชายเสด็จไปแล้ว พระนางและข้าราชบริพารก็ได้มาถึงยังที่ซึ่งพระศาสดาประทับนั่งอยู่นั้น และเมื่อทอดพระเนตรเห็นพระฉัพพรรณรังสีแผ่ซ่านออกมาจากพระสรีระของพระศาสดาก็ได้เข้าไปถวายบังคม ในช่วงนี้พระศาสดาทรงแสดงอิทธิฤทธิ์บันดาลให้พระนางอโนชาและข้าราชบริพารฝ่ายหญิงไม่สามารถมองเห็นพระเจ้ามหากัปปินะและข้าราชบริพารฝ่ายชายเหล่านั้นได้ ดังนั้นพระนางอโนชาจึงได้ทูลถามว่า พระเจ้ามหากัปปินะและข้าราชบริพารฝ่ายชายไปที่ไหนเสีย พระศาสดาได้ตรัสว่าใ ห้พระนางพร้อมทั้งข้าราชบริพารฝ่ายหญิงได้รอคอยสักครู่หนึ่ง พระเจ้ามหากัปปินะและข้าราชบริพารฝ่ายชายก็จะเสด็จมากัน จากนั้นพระศาสดาได้ทรงแสดงอนุปุพพีกถา ในเวลาจบเทศนา พระนางอโนชา พร้อมทั้งข้าราชบริพาร ได้บรรลุพระโสดาปัตติผล ฝ่ายพระมหากัปปินเถระ พร้อมทั้งพระข้าราชบริพารเหล่านั้น สดับพระธรรมเทศนาที่พระศาสดาทรงแสดงแก่หญิงเหล่านั้นแล้ว ก็ได้บรรลุพระอรหัตตผล ในขณะนั้นเอง พระศาสดาทรงคลายฤทธิ์ให้ทั้งสองฝ่ายสามารถแลเห็นกันได้
พระนางอโนชาพร้อมด้วยข้าราชบริพารฝ่ายหญิง ได้ทูลขอบรรพชาเป็นภิกษุณี พระศาสดาได้ทรงแนะนำให้ไปบวชกันที่กรุงสาวัตถี พระนางอโนชาและหญิงข้าราชบริพารทั้งหมดจึงได้เดินทางไปบวชเป็นภิกษุณีที่กรุงสาวัตถี และต่อมาไม่นานทุกนางก็ได้สำเร็จพระอรหัตตผล ข้างพระศาสดาเองก็ได้เสด็จไปไปสู่เพระเชตวันโดยทางอากาศ พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ 1000 รูป
ณ ที่วัดพระเชตวัน พระมหากัปปินเถระ เที่ยวเปล่งอุทานในที่ทั้งหลาย เช่น ที่พักกลางคืนและที่พักกลางวันเป็นต้นว่า “สุขหนอ สุขหนอ” (อโห สุขํ) ภิกษุทั้งหลายเมื่อได้ยินคำเปล่งอุทานนี้บ่อยครั้งก็ได้กราบทูลพระศาสดา พระศาสดาได้ตรัสตอบว่า “ภิกษุทั้งหลาย บุตรของเรา ย่อมเปล่งอุทานปรารภสุขในกาม สุขในราชสมบัติ หามิได้ ก็แต่ว่า ความเอิบอิ่มในธรรม ย่อมเกิดแก่บุตรของเรา บุตรของเรานั้น ย่อมเปล่งอุทานอย่างนั้น เพราะปรารภอมตมหานิพพาน”
จากนั้นพระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถาที่ 79 ว่า
ธมฺมปีติ สุขํ เสติ
วิปฺปสนฺเนน เจตสา
อริยปฺปเวทิเต ธมฺเม
สทา รมติ ปณฺฑิโตฯ
ผู้ดื่มด่ำธรรม มีใจผ่องใสแล้ว
อยู่เป็นสุข
บัณฑิตยินดีในธรรม
ที่พระอริยะเจ้าประกาศแล้ว
ในกาลทุกเมื่อ.
เมื่อพระสัทธรรมเทศนาจบลง ชนเป็นอันมาก ได้บรรลุพระอริยผลทั้งหลาย มีพระโสดาปัตติผลเป็นต้น.
No comments:
Write comments