เรื่องพระอุปนันทศากยบุตร
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตะวัน ทรงปรารภพระอุปนันทะศากยบุตร ตรัสพระธรรมเทศฯนี้ว่า “อตฺตานญฺเจ ปฐมํ” เป็นต้น
พระอุปนันทะศากยบุตร เป็นผู้ฉลาดในธรรมกถาการสั่งสอนผู้อื่น โดยท่านจะสอนผู้อื่นไม่ให้มีความละโมบ ให้มีความมักน้อย และท่านจะพรรณนาอานิสงส์ของความมักน้อย(อัปปิจฉตา) และความขัดเกลากิเลสในรูปแบบของธุดงควัตร(ธุตังคะ) อยู่ เป็นนิตย์ แต่ในทางปฏิบัตินั้น ท่านมิได้ปฏิบัติตามที่ท่านสอน หากแต่ได้ไปนำเอาจีวรและปัจจัยอื่นๆที่คนถวายแก่พระรูปอื่นมาเป็นของตัวเอง
มีอยู่คราวหนึ่ง พระอุปนันทะศากยบุตร ได้เดินทางไปที่วัดประจำหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ก่อนจะถึงวันเข้าพรรษา พวกพระภิกษุหนุ่มรูปในวัดแห่งนั้น มีความประทับใจในคำสอนของท่าน ก็ได้กราบอาราธนาท่านให้จำพรรษาในวัดแห่งนั้น ท่านก็ได้ถามว่า ปกติพระภิกษุที่จำพรรษาที่วัดแห่งนี้จะได้ผ้าจำนำพรรษากี่ผืน เมื่อพวกภิกษุตอบว่าปกติจะได้ผืนเดียว ท่านก็จึงไม่เข้าจำพรรษาในวัดแห่งแรกนี้ ได้แต่ฝากรองเท้าไว้คู่หนึ่ง แล้วเดินทางไปยังวัดที่สอง ท่านก็ได้ถามคำถามเดียวกันกับพระภิกษุในวัดที่สอง เมื่อพวกพระภิกษุในวัดที่สองบอกว่า จะได้ผ้าจำนำพรรษารูปละ 2 ผืน ท่านก็ยังไม่เข้าจำพรรษาที่วัดแห่งที่สองนั้น ได้แต่ฝากไม้เท้าไว้ แล้วเดินทางต่อไปยังวัดที่สาม ท่านก็ตั้งคำถามแบบเดิมกับพระภิกษุในวัดที่สาม เมื่อพวกพระภิกษุในวัดที่สามบอกว่า จะได้ผ้าจำนำพรรษารูปละ 3 ผืน ท่านก็ยังไม่ยอมเข้าจำพรรษาที่วัดที่สามนั้น ได้แต่ฝากตุ่มน้ำเอาไว้ แล้วเดินทางต่อไปยังวัดที่สี่ เมื่อท่านถามพระในวัดที่สี่และพอทราบว่า จะได้ผ้าจำนำพรรษารูปละ 4 ผืน ท่านก็ได้ตัดสินใจที่จะเข้าจำพรรษาที่วัดที่สี่นี้
เมื่อถึงวันออกพรรษา ท่านก็ได้ไปทวงผ้าจำนำพรรษาจากวัดต่างๆที่ท่านฝากสิ่งของเครื่องใช้ส่วนตัวไว้นั้น จากนั้นก็นำผ้าจำนำพรรษาทั้งหมดบรรทุกเกวียนเดินทางกลับวัดเดิม ในระหว่างทาง ท่านได้พบพระภิกษุหนุ่ม 2 รูปกำลังทะเลาะวิวาทกันเพราะได้จีวรมา 2 ผืนและผ้ากัมพล 1 ผืนแล้วแบ่งกันไม่ลงตัว เมื่อพระทั้งสองรูปเห็นพระอุปนันทะมาก็ได้ขอร้องให้ท่านช่วยเป็นตุลาการตัดสินข้อพิพาทแย่งชิงผ้ากันในครั้งนี้ ท่านก็ได้ตัดสินให้พระแต่ละรูปได้จีวรไปรูปละผืน ส่วนท่านเองได้ผ้ากัมพลราคาแพงในฐานะทำหน้าที่เป็นตุลาการ
พระภิกษุทั้งสองรูปไม่พอใจกับการตัดสินนั้น แต่ก็ไม่ทราบว่าจะโต้แย้งอย่างไร จึงได้นำความขึ้นกราบทูลพระศาสดา และพระศาสดาตรัสว่า พระอุปนันทะมิใช่จะสร้างความเดือนร้อนให้แก่พระทั้งสองรูปแต่เฉพาะในชาตินี้เท่านั้น แต่ยังเคยสร้างเรื่องเดือดร้อนแบบนี้ในอดีตเหมือนกัน จากนั้นได้ทรงนำเรื่องในอดีตมาเล่าว่า นากสองตัว ไปได้ปลาตะเพียนมาตัวหนึ่ง เกิดทะเลาะกันเพราะไม่สามารถแบ่งปลาตะเพียนตัวนั้นอย่างไรดี เมื่อสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งเดินผ่านมา จึงได้ขอร้องให้สุนัขจิ้งจอกตัวนั้น ช่วยทำหน้าที่เป็นตุลาการระงับข้อพิพาท ข้างสุนัขจิ้งจอกก็ได้ตัดสินให้นากตัวหนึ่งได้ส่วนหางของปลาตะเพียน ให้นากอีกตัวหนึ่งได้ส่วนหัวของปลาตะเพียน สำหรับส่วนกลางของปลาตะเพียนให้ตกเป็นของนากผู้ทำหน้าที่เป็นตุลาการ นากสองตัวในอดีตก็คือพระภิกษุสองรูปในปัจจุบัน ส่วนสุนัขจิ้งจอกในอดีตก็คือพระอุปนันทะ หลังจากที่ได้ทรงเล่าอดีตนิทานจบลงแล้ว เมื่อจะทรงติเตียนพระอุปนันทะ จึงตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย ธรรมดาผู้จะสั่งสอนผู้อื่น พึงให้ตนตั้งอยู่ในคุณอันสมควรสีก่อนทีเดียว”
จากนั้น พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถานี้ว่า
อตฺตานเมว ปฐมํ
ปฏิรูเป นิเวสเย
อถญฺญมนุสาเสยฺย
น กิลิสฺเสยฺย ปณฺฑิโต.
บัณฑิตพึงตั้งตนนั่นแล
ในคุณอันสมควรก่อน
พึงสั่งสอนผู้อื่นในภายหลัง
จะไม่พึงเศร้าหมอง.
เมื่อพระธรรมเทศฯจบลง ภิกษุ 2 รูปนั้น ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล เทศนามีประโยชน์แม้แก่มหาชน.
No comments:
Write comments