เรื่องมารธิดา
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ที่โพธิมัณฑสถาน ทรงปรารภธิดามาร ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า ยสฺส ชิตํ เป็นต้น
มาคันทิยพราหมณ์และนางพราหมณีผู้ภรรยา อาศัยอยู่ในแคว้นกุรุ สามีภรรยาคู่นี้มีธิดาคนหนึ่งชื่อนางมาคันทิยา มีรูปร่างสวยงามมาก นางมาคันทิยางดงามมากมากจนบิดาของนางบอกปัดหนุ่มทั้งหลายที่มาชอบพอ โดยให้เหตุผลว่า “พวกท่านไม่สมควรแก่ธิดาของข้าพเจ้า” อยู่มาวันหนึ่ง ในเวลาใกล้รุ่ง พระศาสดา ทรงตรวจดูสัตวโลก ทรงเห็นมาคันทิยพราหมณ์นั้น เข้ามาอยู่ในข่ายคือพระญาณของพระองค์ ทรงตรวจสอบแล้วก็ทรงพบว่าทั้งมาคันทิยพราหมณ์และนางพราหมณีทั้งสองคนจะได้บรรลุมรรคและผลที่ 3 จึงทรงถือบาตรและจีวร เสด็จไปยังที่ซึ่งมาคันทิยพราหมณ์กำลังบูชาไฟ
พราหมณ์ตรวจดูรูปลักษณ์ของพระศาสดา ก็ทราบว่าไม่เหมือนผู้ใดในโลก และเป็นบุคคลที่สมควรจะเป็นคู่ครองของธิดาของตน จึงกราบทูลพระศาสดาว่า “สมณะ เรามีธิดาอยู่คนหนึ่ง เรายังไม่เห็นบุรุษผู้สมควรแก่นาง จึงไม่ได้ให้นางแก่ใครๆเลย ส่วนท่านเป็นผู้สมควรแก่นาง เราใคร่จะให้ธิดาแก่ท่าน ให้เป็นหญิงบำเรอท่าน ท่านจงรออยู่ ณ ที่นี้แหละ จนกว่าเราจะนำธิดามา” พระศาสดา ทรงสดับถ้อยคำของเขาแล้ว ไม่ทรงแสดงความยินดี และทั้งไม่ทรงห้าม พราหมณ์รีบเดินทางไปที่บ้านเพื่อพาภรรยาและธิดามา พระศาสดาไม่ได้ประทับยืนอยู่ในที่ที่พราหมณ์บอกไว้ ได้แต่ประทับรอยพระบาทของพระองค์ไว้แล้ว ไปประทับยืนในที่อื่น เมื่อพราหมณ์และครอบคัวมาถึง ไม่พบพระศาสดา พบแต่รอยพระบาทที่ทรงประทับไว้นั้น นางพราหมณ์ก็ได้กล่าวกับพราหมณ์ว่า รอยเท้านี้เป็นรอยเท้าของผู้หมดกิเลส เมื่อพราหมณ์และนางพราหมณีไปพบตัวจริงของพระศาสดา ข้างพราหมณ์จึงได้เสนอธิดาให้เป็นนางบำเรอ พระศาสดา ไม่ตรัสว่า “เราไม่ต้องการธิดาของท่าน” กลับตรัสว่า “พราหมณ์ เราจักบอกเหตุสักอย่างหนึ่งแก่ท่าน ท่านจักฟังไหม?” เมื่อพราหมณ์กราบทูลตอบรับ พระศาสดาจึงทรงเล่าเรื่องที่ธิดามารมายั่วยวนพระองค์ในคราวที่ทรงตรัสรู้ใหม่ๆ ซึ่งในครั้งนั้นพระองค์ได้ตรัสกับนางตัณหา นางราคา และนางอรดี ธิดาทั้งสามของมารว่า “พวกเจ้าจงหลีกไป พวกเจ้าเห็นอะไรจึงพยายามอย่างนี้ ? การทำแบบนี้ต่อหน้าพวกที่มีราคะถึงจะควร ส่วนตถาคตละกิเลสทั้งหลายมีราคะเป็นต้นได้แล้ว พวกเจ้าจักนำเราไปในอำนาจของตน ด้วยเหตุอะไรเล่า ?”
จากนั้น พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท สองพระคาถานี้ว่า
ยสฺส ชิตํ นาวชิยติ
ชิตสฺส โมยาติ โกจิ โลเก
ตํ พุทฺธมนนฺตโคจรํ
อปทํ เกน ปเทน เนสฺสถ ฯ
กิเลสมีราคะเป็นต้น
อันพระพุทธเจ้าพระองค์ใดทรงชนะแล้ว
อันพระองค์ย่อมไม่กลับแพ้
ไม่มีกิเลสใดแม้หน่อยหนึ่งในโลก
ที่พระพุทธเจ้าพระองค์นั้นยังชนะแล้วไม่ได้
พวกเจ้าจักนำพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ผู้มีอารมณ์ไม่มีที่สุด ไม่มีร่องรอย
ไปด้วยร่องรอยอะไร ?
ยสฺส ชาลินี วิสตฺติกา
ตณฺหา นตฺถิ กุหิญฺจิ เนตฺวา
ตํ พุทฺธมนนฺตโคจรํ
อปทํ เกน ปเทน เนสฺสถ ฯ
ตัณหาดุจข่ายซ่านไปตามอารมณ์ต่างๆ
ไม่มีแก่พระพุทธเจ้าพระองค์ใด
เพื่อนำไปในภพไหนๆ (ในวัฏฏสงสาร)
พวกเจ้าจักนำพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ผู้มีอารมณ์ไม่มีที่สุด ไม่มีร่องรอย ไปด้วยร่องรอยอะไร ?
เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง เทวดาเป็นจำนวนมากได้บรรลุธรรม ธิดามารได้อันตรธานไปจากที่นั้นแล้ว.
พระศาสดาครั้นนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว ได้ตรัสว่า “มาคันทิยะ ในกาลก่อน เราได้เห็นธิดามารทั้ง 3 เหล่านี้ผู้ประกอบด้วยอัตภาพเช่นกับแท่งทอง ไม่แปดเปื้อนด้วยของโสโครกมีเสมหะเป็นต้น แม้ในกาลนั้น เราไม่ได้มีความพอใจในเมถุนเลย ก็สรีระแห่งธิดาของท่าน เต็มไปด้วยซากศพคืออาการ 32 เหมือนหม้อที่ใส่ของไม่สะอาด อันตระการตา ณ ภายนอก แม้ถ้าเท้าของเราพึงเป็นเท้าที่แปดเปื้อนด้วยของไม่สะอาดไซร้ และธิดาของท่านนี้พึงยืนอยู่ที่ธรณีประตู ถึงอย่างนั้น เราก็ไม่พึงถูกต้องสรีระของนางด้วยเท้า”
เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง สามีและภรรยาทั้งสอง ได้บรรลุอนาคามิผล.
No comments:
Write comments