เรื่องพระติสสเถระผู้อยู่ในเงื้อมเขา
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพระติสสเถระผู้อยู่ในเงื้อมเขา ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า อสํสฏฺฐํ เป็นต้น
ในกาลครั้งหนึ่ง พระติสสเถระ เรียนพระกัมมัฏฐานจากพระศาสดาแล้ว เข้าป่าไปพบสถานที่แห่งหนึ่งเป็นที่สัปปายะอยู่ที่เงื้อมเขา ท่านได้ลองนั่งทดสอบดู ก็เห็นว่าจิตสงบดี ซึ่งจะทำให้บรรลุถึงที่สุดแห่งกิจของบรรพชิตคือเข้าถึงพระนิพพานได้ ท่านจึงตัดสินใจจะจำพรรษาอยู่ในถ้ำแห่งนั้น เทพยดาซึ่งสิงสถิตอยู่ในถ้ำแห่งนั้นคิดว่าพระภิกษุรูปนี้คงจะพำนักอยู่แค่คืนเดียวก็จะจากไป ก็ได้พาพวกลูกๆของตนออกไปจากถ้ำนั้น แต่ในวันรุ่งขึ้นพระภิกษุนี้ได้เข้าไปบิณฑบาตในหมู่บ้าน ได้รับอาราธนาจากหญิงผู้หนึ่งให้เข้าจำพรรษาอยู่ในถ้ำนั้นเป็นเวลา 3 เดือน พระภิกษุนั้นจึงได้สนองศรัทธา เทวดาที่สิงสถิตอยู่ในถ้าเกิดความเดือดร้อน เพราะจะอยู่ในถ้ำกับพระภิกษุผู้มีศีลบริสุทธ์ก็อยู่ไม่ได้ จะไปบอกท่านให้ออกไปจากถ้ำก็ยิ่งไม่กล้า จึงได้วางแผนจะจับผิดพระภิกษุนั้นเพื่อหาเหตุให้ท่านออกไปจากถ้ำนั้นให้ได้
เทวดาอยู่ในถ้าตนนั้นจึงได้ไปเข้าสิงที่ร่างของบุตรของหญิงที่นิมนต์พระภิกษุไปรับอาหารบิณฑบาตเป็นประจำทุกวันนั้น เมื่อถูกเทวดาเข้าสิงเด็กชายคนนั้นก็เกิดอาการคอบิด น้ำลายฟูมปาก ข้างมารดาของเด็กเห็นเช่นนั้นก็ตกใจ กอดบุตรร้องไห้ ร่างของเด็กที่ถูกเทวดาเข้าสิงได้กล่าวว่า “เราเข้าสิงที่ร่างของบุตรท่าน เราไม่ต้องการเครื่องเซ่นสังเวยใดๆ แต่อยากจะให้ท่านไปขอสมุนไพร “ชะเอมเครือ”จากพระเถระที่เข้ามาบิณฑบาตที่บ้านท่านเป็นประจำมาทอดน้ำมัน แล้วนำมาให้เด็กคนนี้หยอดเข้าไปทางจมูก” แต่หญิงนั้นไม่กล้าไปขอสิ่งนั้นจากพระภิกษุเพราะจะทำให้ท่านมีศีลด่างพร้อยในข้อที่ปรุงยารักษาโรค จึงได้ต่อรองกับเทวดา จนตกลงกันว่า ให้นางไปขอน้ำล้างเท้าของพระภิกษุนั้น เมื่อได้มาแล้วก็ให้นำมารดลงที่ศีรษะของเด็กนี้ ในวันรุ่งขึ้น เมื่อพระภิกษุรูปนี้เข้ามาบิณฑบาตที่บ้าน นางก็ได้ถวายอาหารบิณฑบาตตามปกติ แต่ที่พิเศษก็คือขอให้พระเอาน้ำล้างเท้าและขอน้ำนั้นไว้ และนางได้นำน้ำนั้นรดลงที่ศีรษะของบุตร เด็กนั้นก็มีสภาพกลับคืนสู่ปกติ ส่วนเทวดาก็ได้กลับไปที่ถ้ำเพื่อรอการกลับคืนสู่ถ้าของภิกษุนั้น เมื่อภิกษุนั้นกลับมาแล้ว เทวดานั้นก็ได้แสดงตัวออกมาให้ภิกษุนั้นเห็น กล่าวว่า “ท่านผู้เป็นหมอใหญ่ ท่านอย่าได้เข้ามาในถ้ำนี้” พระภิกษุนั้นรู้ตัวว่าตั้งแต่บวชพระมาไม่เคยประกอบยารักษาโรคให้แก่ผู้ใด จึงได้ตอบไปว่า ท่านไม่เคยทำยารักษาโรคให้ใครมาก่อนเลย เทวดาจึงบอกว่าเมื่อเช้านี้พระภิกษุนี้ได้ทำการรักษาเด็กที่ถูกอมนุษย์เข้าสิงที่บ้านที่ท่านเข้าไปรับอาหารบิณฑบาตเป็นประจำนั่นไง พระเถระตอบว่าไม่ได้ประกอบยารักษาเด็กดังที่เทวดากล่าวหา เทวดาบอกว่าที่เอาน้ำล้างเท้าไปรดให้เด็กก็ถือว่าเป็นการรักษาโรคได้เหมือนกัน แต่พระภิกษุนั้นตอบว่าไม่เป็น และท่านก็มีความภาคภูมิใจว่าท่านยังมีศีลบริสุทธิ์ เกิดความปีติอย่างเหลือล้น เมื่อข่มปีติได้แล้ว ก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ในขณะยืนอยู่ที่ปากถ้ำนั่นเอง เมื่อท่านรู้ตัวว่าท่านเป็นพระอรหันต์แล้ว ก็ได้บอกให้เทวดาออกจากถ้ำนั้นไป ในขณะที่ท่านก็จำพรรษาอยู่ที่นั่นต่อไปจนครบไตรมาส เมื่อออกพรรษาแล้วท่านก็ได้เดินทางกลับไปเฝ้าพระศาสดา เมื่อถูกภิกษุทั้งหลายถามว่า บรรลุถึงกิจสูงสุดของการเป็นบรรพชิตแล้วหรือยัง ? ท่านก็ได้เล่าเรื่องทั้งหมดให้ภิกษุเหล่านี้ฟัง เมื่อภิกษุทั้งหลายถามว่า “ ท่านถูกเทวดาว่ากล่าวอย่างนั้น ไม่โกรธหรือ?” ท่านตอบว่า “ไม่โกรธ” พวกภิกษุทั้งหลายจึงตีความคำพูดของท่านว่าเป็นการอวดอ้างตนว่าบรรลุเป็นพระอรหันต์ จึงได้นำความขึ้นกราบบังคมทูลพระศาสดา พระศาสดาตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย บุตรของเราย่อมไม่โกรธเลย เพราะขึ้นชื่อว่าความเกี่ยวข้องด้วยคฤหัสถ์หรือด้วยบรรพชิตทั้งหลาย ย่อมไม่มีแก่บุตรของเรานั่น บุตรของเรานั่น ไม่เกี่ยวข้อง ปรารถนาน้อย สันโดษ”
จากนั้น พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถานี้ว่า
อสํสฏฺฐํ คหฏฺเฐหิ
อนาคาเหิ จูภยํ
อโนกสารึ อปฺปิจฺฉํ
ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ ฯ
เราเรียกบุคคล ผู้ไม่เกี่ยวข้องด้วยชน 2 จำพวก
คือ คฤหัสถ์ 1 บรรพชิต 1
ผู้ไม่มีความอาลัยเที่ยวไป
ผู้ปรารถนาน้อยนั้นว่า เป็นพราหมณ์.
เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง ชนเป็นอันมาก บรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น.
No comments:
Write comments