เรื่องพระนางมหาปชาบดีโคตมี
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพระนางมหาปชาบดีโคตมี ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า ยสฺส กาเยน เป็นต้น
พระนางมหาปชาบดีโคตมี เป็นพระน้านางของพระศาสดา เมื่อพระนางสิริมหามายาสิ้นพระชนม์ และเจ้าชายสิทธัตถะประสูติได้ 7 วัน พระน้านางพระองค์นี้ก็ได้เป็นพระมเหสีเอกของพระเจ้าสุทโธทนะ ในขณะนั้น เจ้าชายนันทะพระโอรสแท้ๆของพระนางมีพระชนมายุเพียง 5 วัน พระนางทรงมอบหมายให้พระพี่เลี้ยงนางนมเป็นผู้อภิบาลพระกุมารแท้ๆของพระนาง ส่วนพระนางเองได้ทรงเป็นผู้อภิบาลเจ้าชายสิทธัตถะ ด้วยเหตุนี้พระนางจึงมีอุปการคุณอย่างใหญ่หลวงต่อเจ้าชายสิทธัตถะ
เมื่อพระเจ้าชายสิทธัทธัตถะซึ่งก็คือพระศาสดา เสด็จกลับสู่กรุงกบิลพัสดุ์ ภายหลังจากได้บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณแล้วนั้น พระนางมหาปชาบดีโคตมี ได้ไปเฝ้าพระองค์เพื่อทูลขอให้หญิงทั้งหลายได้รับพระอนุญาตให้บรรพชาเป็นภิกษุณีได้ แต่พระศาสดาได้ทรงปฏิเสธ ต่อมาเมื่อพระเจ้าสุทโธทนะเสด็จสู่สวรรคาลัยหลังจากที่ทรงได้บรรลุพระอรหัตตผล ในขณะที่พระศาสดาประทับอยู่ที่ป่ามหาวันใกล้กรุงไพศาลี พระนางมหาปชาบดีโคตมี พร้อมด้วยสตรีอื่นอีก 500 นาง ได้พร้อมใจกันเดินเท้าเปล่าไปเฝ้าพระศาสดาที่ป่ามหาวันนั้น โดยสตรีทุกนางได้ปลงผมและสวมใส่ผ้าย้อมด้วยน้ำฝาดไปด้วย ในครั้งที่สองนี้ พระนางมหาปชาบดีโคตมีก็ได้กราบทูลพระศาสดาให้ทรงอนุญาตให้พระนางพร้อมด้วยสตรีทั้ง 500 นางบรรพชาเป็นภิกษุณีเหมือนในครั้งแรก แต่ในครั้งนี้ พระอานนทเถระได้เข้าไปช่วยเจรจาช่วยพระนาง จนพระศาสดาทรงยินยอม โดยมีข้อแม้ว่า พระนางพร้อมด้วยสตรีทั้งหมดนั้นต้องรับครุธรรม 8 ประการ เมื่อพระนางและสตรีเหล่านั้นยอมรับเงื่อนไขนั้น ก็ได้รับการบรรพชาเป็นภิกษุณี โดยถือว่าพระนางปชาบดีโคตมีนี้เป็นภิกษุณีรูปแรก และสตรีอีก 500 นางก็ได้รับการบรรพชาเป็นนางภิกษุณีตามพระบัญชาของพระศาสดา
เมื่อกาลผ่านไป ภิกษุณีทั้งหลายมีความคิดว่า พระนางมหาปชาบดีโคตรมี เป็นภิกษุณีโดยไม่ถูกต้องเพราะไม่มีพระอุปัชฌายะและพระอาจารย์อื่นใด เป็นการบรรพชาโดยนำผ้ากาสาวพัสตร์มาสวมใส่เท่านั้นเอง ภิกษุณีทั้งหลายจึงยุติทำอุโบสถ และทำปวารณากับพระนาง และได้ไปเข้าเฝ้าพระศาสดา ยกปัญหาเรื่องพระนางปชาบดีโคตมีได้รับการบรรพชาโดยไม่ถูกต้องเพราะไม่มีพระอุปัชฌายะขึ้นทูลถามพระศาสดา พระศาสดาตรัสว่า “ครุธรรม 8 ประการ เราให้แล้วแก่พระนางมหาปชาบดีโคตมี เราเองเป็นอาจารย์ เราเองเป็นอุปัชฌายะของพระนาง ชื่อว่าความรังเกียจในพระขีณาสพทั้งหลาย ผู้เว้นจากทุจริตทั้งหลายมีกายทุจริตเป็นต้น อันเธอทั้งหลายไม่ควรทำ”
จากนั้น พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถานี้ว่า
ยสฺส กาเยน วาจาย
มนสา นตฺถิ ทุกฺกฏํ
สํวุตํ ตีหิ ฐาเนหิ
ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ ฯ
ความชั่วทางกาย วาจา และใจ
ของบุคคลใด ไม่มี
เราเรียกบุคคลนั้น ผู้สำรวมแล้วโดยฐานะ 3
ว่า เป็นพราหมณ์.
เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง ชนเป็นอันมาก บรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น.
No comments:
Write comments