เรื่องพระจันทาภเถระ
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพระจันทาภเถระ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า จนฺทํว เป็นต้น
พระจันทาภเถระ เมื่อครั้งในอดีตชาติ เคยได้ถวายผงแก่นจันทน์แดงบูชาพระสถูปเจดีย์ ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระกัสสปพุทธเจ้า ด้วยผลานิสงส์นั้น ทำให้ได้ไปเกิดในเทวโลกเป็นเวลาหนึ่งพุทธันดร ในพุทธุปบาทกาลนี้ ได้มาเกิดที่โลกมนุษย์ในตระกูลพราหมณ์กรุงราชคฤห์ ตั้งแต่คลอดออกมาจากครรภ์ของมารดา ทารกคนนี้มีแสงสว่างเป็นรูปวงกลมดุจจันทร์เพ็ญแผ่ออกจากสะดือ เพราะฉะนั้นจึงมีชื่อว่า จันทาภะ พวกพราหมณ์เห็นว่าสิ่งแปลกประหลาดในตัวของเขาเป็นจุดจุดขาย ก็จึงนำเขาขึ้นเกวียนพาตระเวนไปตามที่ต่างๆ เพื่อให้ผู้คนได้ชมและใครที่จ่ายเงินจำนวน 100 กหาปณะ หรือ 1000 กหาปณะก็จะได้รับอนุญาตให้จับเนื้อต้องตัวของเขาได้ อยู่มาวันหนึ่ง เมื่อคณะของจันทาภะเดินทางถึงสถานที่กึ่งกลางระหว่างกรุงราชคฤห์กับพระเชตวัน ได้เห็นพระอริยะทั้งหลายเดินทางไปเฝ้าพระศาสดาที่วัดพระเชตวัน ก็ได้กล่าวกับครนเหล่านั้นว่า จะมีประโยชน์อะไรกับการไปฟังธรรมของพระพุทธเจ้านั้น เพราะว่าไม่มีใครมีอานุภาพเสมอเหมือนจันทาภะนี้อีกแล้ว ใครก็ตามที่สัมผัสถูกเนื้อต้องตัวของเขาแล้ว คนนั้นก็จะได้อิสสริยศและทรัพย์สมบัติ ไม่เชื่อก็มาลองพิสูจน์ดูก็ได้ แต่พระอริยบุคคลเหล่านั้นได้กล่าว่า “พระศาสดาของพวกเราเท่านั้น มีอานุภาพมาก”
คณะพราหมณ์นั้นจึงได้นำจันทาภะไปที่พระเชตวันเพื่อพิสูจน์ว่ามีอานุภาพมากกว่าพระศาสดา เมื่อจันทาภะเข้าไปอยู่เบื้องหน้าของพระศาสดา รัศมีวงกลมดังพระจันท์วันเพ็ญที่เคยแผ่ออกมาจากสะดือของเขาก็หายไปสิ้น เมื่อลองให้จันทาภะออกไปจากเบื้องหน้าของพระศาสดา รัศมีนั้นก็กลับมาดังเดิม เมื่อได้ทำการทดลองถึง 3 ครั้ง พวกพราหมณ์จึงเชื่อว่า พระศาสดาจะต้องมีมนต์วิเศษ ที่สามารถทำให้รัศมีหายไปได้อย่างแน่นอน จึงต้องการได้มนต์วิเศษนี้ แต่พระศาสดาตรัสว่า พระองค์จะประทานมนต์นี้ก็เฉพาะแก่บุคคลที่เป็นภิกษุเท่านั้น จันทาภพราหมณ์จึงบอกให้คณะพราหมณ์ของเขารอไปก่อนในขณะที่เขาเรียนมนต์นี้ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 2-3 วัน จากนั้นพระศาสดาได้ให้การอุปสมบทแด่จันทาภพราหมณ์ และได้บอกพระกัมมัฏฐานที่มีอาการ 32 เป็นอารมณ์ให้พระจันทาภะนำไปปฏิบัติ โดยตรัสว่า จงนำมนต์นี้ไปท่องบ่นสาธยาย เมื่อเวลาผ่านไปเพียง 2-3 วันเท่านั้น พระจันทาภะก็ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ เมื่อพวกพราหมณ์ในคณะมาชวนให้ไปออกตระเวนหาเงินต่อ พระจันทาภะกล่าวว่า “ท่านทั้งหลายจงไปเถิด เดี๋ยวนี้ฉันเป็นผู้มีธรรมเครื่องไม่ไปเสียแล้ว” ภิกษุทั้งหลายเมื่อได้ยินท่านพูดเช่นนั้น ก็คิดว่าท่านอวดอ้างตนว่าเป็นพระอรหันต์ด้วยความไม่จริง จึงนำความขึ้นกราบบังคมทูลพระศาสดา พระศาสดาตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ จันทาภะบุตรของเรา มีอาสวะสิ้นแล้ว ย่อมกล่าวแต่คำจริงเท่านั้น”
จากนั้น พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถานี้ว่า
จนฺทํว วิมลํ สุทฺธํ
วิปฺปสนฺนมนาวิลํ
นนฺทิภวปริกฺขีณํ
ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ ฯ
เราเรียกผู้บริสุทธิ์ ผ่องใส ไม่ขุ่นมัว
มีภพเครื่องเพลิดเพลินสิ้นแล้ว
เหมือนพระจันทร์ที่ปราศจากมลทิน
นั้นว่า เป็นพราหมณ์.
เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง ชนเป็นอันมาก บรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น.
No comments:
Write comments