เรื่องอชครเปรต
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเวฬุวัน ทรงปรารภอชครเปรต ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า อถ ปาปานิ กมฺมานิ เป็นต้น
สมัยหนึ่ง พระมหาโมคคัลลานะเถระกับพระลักขณเถระลงจากเขาคิชฌกูฏ ได้เห็นสัตว์ชื่ออชครเปรต(เปรตงูเหลือม) ร่างกายใหญ่ยาวประมาณ 25 โยชน์ ด้วยจักษุทิพย์ มีเปลวไฟลุกไหม้ทั้งสามด้าน คือตั้งแต่ศีรษะลามจนถึงหาง ตั้งแต่หางลามไปถึงศีรษะ และตั้งแต่ข้างลำตัวลามไปที่กลางตัว พระมหาโมคคัลลานะเมื่อเห็นแล้วก็ยิ้มออกมา เมื่อถูกพระลักขณเถระถามถึงสาเหตุของการยิ้มนั้น ก็ได้ตอบว่า ผู้มีอายุ ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่จะตอบคำถาม ท่านค่อยถามผมเมื่อตอนที่เราไปในสำนักของพระศาสดาเถิด จากนั้นได้เข้าไปบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์ เมื่อพระเถระทั้งสองไปเฝ้าพระศาสดาและพระมหาโมคคัลลานเถระถูกพระลักขณเถระถามอีกครั้งหนึ่ง จึงตอบว่า ผู้มีอายุ ผมเห็นเปรตตนหนึ่ง ณ ที่ตรงนั้น ร่างกายของมันยาวใหญ่มาก ผมเห็นมันก็จึงยิ้มออกมา เพราะเห็นว่า เปรตอะไรช่างตัวยาวใหญ่เสียเหลือเกิน ไม่เคยพบเห็น ณ ที่ไหนมาก่อน พระศาสดาตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย เปรตนั้น แม้เราก็ได้เห็นเหมือนกันที่ควงต้นโพธิพฤกษ์ แต่เราไม่พูด เพราะเห็นว่า พูดไปคนก็จะไม่เชื่อ เมื่อคนไม่เชื่อก็จะไม่เกิดประโยชน์อะไร บัดนี้เราได้โมคคัลลานะมาเป็นพยานแล้ว จึงได้พูด เมื่อภิกษุทั้งหลายทูตถามถึงบุรพกรรมของเปรตนั้น พระศาสดาได้ตรัสเล่าว่า ในสมัยแห่งพระพุทธจ้าพระนามว่ากัสสปะ เปรตนี้เป็นโจรใจดำอำมหิต ได้จุดไฟเผาบ้านของเศรษฐีผู้หนึ่งถึง 7 ครั้ง เท่านั้นยังไม่พอ โจรคนนี้ก็ยังจุดไฟเผาพระคันธกุฎีของพระกัสสปพุทธเจ้าที่เศรษฐีนั้นสร้างถวายขณะที่พระกัสสปพุทธเจ้าเสด็จไปบิณฑบาตในหมู่บ้าน เพราะผลแห่งกรรมชั่วนั้น ทำให้โจรได้รับความทุกข์ในอเวจีนรกอยู่เป็นเวลานาน ในกาลบัดนี้ ได้มาเกิดเป็นอชครเปรต ถูกไฟไหม้อยู่ที่เขาคิชฌกูฏ ด้วยวิบากแห่งกรรมที่ยังเหลือ พระศาสดาครั้นตรัสถึงบุรพกรรมของเปรตนั้นแล้ว จึงตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย ธรรมดาคนพาล ทำกรรมชั่วอยู่ย่อมไม่รู้ แต่ภายหลังเร่าร้อนอยู่เพราะกรรมอันตนทำแล้ว ย่อมเป็นเช่นกับไฟไหม้ป่า ด้วยตนของตนเอง
จากนั้น พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถานี้ว่า
อถ ปาปานิ กมฺมานิ
กรํ พาโล น พุชฺฌติ
เสหิ กมฺเมหิ ทุมฺเมโธ
อคฺคิทฑฺโฒว ตปฺปติ ฯ
อันคนพาล ทำกรรมทั้งหลายอันลามกอยู่ ย่อมไม่รู้สึก
บุคคลมีปัญญาทราม ย่อมเดือดร้อน ดุจถูกไฟไหม้
เพราะกรรมของตนเอง.
เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง ชนเป็นมาก บรรลุโสดาปัตติผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น.
No comments:
Write comments