เรื่องพระติสสเถระ
๓. เรื่องพระติสสเถระ
[๓] ข้อความเบื้องต้น พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพระติสสเถระ ได้ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "อกฺโกจฺฉิ มํ อวธิ มํ" เป็นต้น. พระติสสเถระเป็นผู้ว่ายากและถือตัว ดังได้สดับมา ท่านติสสเถระนั้น เป็นโอรสพระปิตุจฉาของ พระผู้มีพระภาคเจ้า บวชในกาลเป็นคนแก่ บริโภคลาภสักการะอันเกิด ขึ้นแล้ว ในพระพุทธศาสนา มีร่างกายอ้วนพี มีจีวรรีดเรียบร้อยแล้ว๑ โดยมากนั่งอยู่ที่โรงฉันกลางวิหาร. ภิกษุอาคันตุกะทั้งหลาย มาแล้ว เพื่อประโยชน์จะเฝ้าพระตถาคต ไปสู่สำนักแห่งเธอ ด้วยสำคัญว่า " นี่ จักเป็นพระเถระผู้ใหญ่" ดังนี้แล้ว ถามถึงวัตร ถามถึงกิจควรทำ มีนวดเท้าเป็นต้น. เธอนิ่งเสีย. ลำดับนั้น ภิกษุหนุ่มองค์หนึ่งถามเธอว่า "ท่านมีพรรษา เท่าไร ?" เมื่อเธอตอบว่า " ยังไม่มีพรรษา ข้าพเจ้าบวชแล้ว ใน กาลเป็นคนแก่" จึงกล่าวว่า "ท่านขรัวตาผู้มีอายุ ฝึกได้ยาก๒ ท่าน ไม่รู้จักประมาณตน, ท่านเห็นพระเถระผู้ใหญ่มีประมาณเท่านี้แล้ว ไม่ ทำวัตรแม้มาตรว่าสามีจิกรรม เมื่อวัตรอันพระเถระเหล่านี้ถามโดย เอื้อเฟื้ออยู่ ท่านนิ่งเสีย, แม้มาตรว่าความรังเกียจ ก็ไม่มีแก่ท่าน" ๑. อาโกฏิตปฺปจฺจาโกฏิเตหิ แปลว่า ทุบแล้วและทุบเฉพาะแล้ว. ๒. แนะนำยาก.ดังนี้ จึงโบกมือ (เป็นที่รุกราน). เธอยังขัตติยมานะให้เกิดขึ้นแล้ว ถามว่า "พวกท่านมาสู่สำนักใคร ?" เมื่ออาคันตุกภิกษุเหล่านั้นตอบว่า "มาสู่สำนักของพระศาสดา" จึงกล่าวว่า " ก็พวกท่านคาดข้าพเจ้าว่า " นี่ใคร ? ' ข้าพเจ้าจักตัดมูล๑ของพวกท่านเสียให้ได้" ดังนี้แล้ว ร้องไห้ เป็นทุกข์ เสียใจ ได้ไปสู่สำนักของพระศาสดาแล้ว. พระติสสะทูลเรื่องแด่พระศาสดา ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสถามเธอว่า "ติสสะ เป็นอะไรหนอ ? เธอจึงเป็นทุกข์ เสียใจ มีน้ำตาอาบหน้า ร้องไห้ มาแล้ว." ฝ่ายภิกษุ เหล่านั้น (คือพวกภิกษุอาคันตุกะ) คิดว่า "ภิกษุนั้น คงไปทำกรรม ขุ่นมัวอะไร ๆ " ดังนี้ จึงไปกับพระติสสะนั้นทีเดียว ถวายบังคมพระ- ศาสดาแล้ว ได้นั่ง ณ ที่ควรข้างหนึ่ง. พระติสสะนั้น อันพระศาสดา ตรัสถามแล้ว ได้กราบทูลว่า " พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุเหล่านี้ด่าข้า พระองค์." ศ. ก็เธอนั่งแล้วที่ไหน ? ต. ที่โรงฉันกลางวิหาร พระเจ้าข้า. ศ. ภิกษุเหล่านี้มา เธอได้เห็นหรือ ? ต. เห็น พระเจ้าข้า. ศ. เธอได้ลุกขึ้นทำการต้อนรับหรือ ? ต. ไม่ได้ทำ พระเจ้าข้า. ๑. ตัดความเป็นสมณะ คือ ให้ขาดจากสมณภาพ.
ศ. เธอได้ถามโดยเอื้อเฟื้อถึงการรับบริขาร ของภิกษุเหล่านั้น หรือ ? ต. ข้าพระองค์ไม่ได้ถามโดยเอื้อเฟื้อ พระเจ้าข้า. ศ. เธอได้ถามโดยเอื้อเฟื้อถึงธรรมเนียม หรือน้ำดื่มหรือ ? ต. ข้าพระองค์ไม่ได้ถามโดยเอื้อเฟื้อ พระเจ้าข้า. ศ. เธอนำอาสนะมาแล้ว ทำการนวดเท้าให้หรือ ? ต. ไม่ได้ทำ พระเจ้าข้า. พระติสสะไม่ยอมขมาภิกษุสงฆ์ ศ. ติสสะ วัตรทั้งปวงนั่น เธอควรทำแก่ภิกษุผู้แก่. การที่ เธอไม่ทำวัตรทั้งปวงนั่น นั่งอยู่ในท่ามกลางวิหาร ไม่สมควร, โทษ ของเธอเองมี, เธอจงขอโทษภิกษุทั้งหลายนั่นเสีย. ต. พระองค์ผู้เจริญ พวกภิกษุนี้ได้ด่าข้าพระองค์, ข้าพระองค์ ไม่ยอมขอโทษเธอ. ศ. ติสสะ เธออย่าได้ทำอย่างนี้. โทษของเธอเองมี เธอจงขอ โทษภิกษุเหล่านั้นเสีย. ต. พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ไม่ยอมขอโทษภิกษุเหล่านี้ . ลำดับนั้น พระศาสดา เมื่อภิกษุทั้งหลายยกราบทูลว่า "ข้าแต่ พระองค์ผู้เจริญ พระติสสะนี้เป็นคนว่ายาก" ดังนี้แล้ว ตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย ติสสะนี้ มิใช่เป็นผู้ว่ายากแต่ในบัดนี้เท่านั้น, ถึงใน กาลก่อน ติสสะนี้ก็เป็นคนว่ายากเหมือนกัน," เมื่อภิกษุเหล่านั้น กราบทูลว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ทั้งหลาย ทราบความที่เธอเป็นผู้ว่ายากแต่ในบัดนี้เท่านั้น, เธอได้ทำอะไรไว้ในอดีตกาล" ดังนี้แล้ว จึงตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย ถ้าอย่างนั้น ท่านทั้งหลายจงฟัง" ดังนี้แล้ว ได้ทรงนำเรื่องอดีตมา.
บุรพกรรมของพระติสสะ
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพาราณสี เสวยราชสมบัติอยู่ในเมือง พาราณสี, ดาบสชื่อเทวละ อยู่ในหิมวันตประเทศ ๘ เดือน ใคร่จะ เข้าไปอาศัยพระนครอยู่ ๔ เดือน เพื่อต้องการจะเสพรสเค็มและรสเปรี้ยว จึงมาจากหิมวันตประเทศ พบพวกคนเฝ้าประตูพระนคร จึงถามว่า "พวกบรรพชิตผู้มาถึงพระนครนี้แล้ว ย่อมพักอยู่ที่ไหนกัน ?" เขา ทั้งหลายบอกว่า "ที่โรงนายช่างหม้อ ขอรับ." เธอไปสู่โรงนายช่าง หม้อแล้ว ยืนที่ประตูกล่าวว่า "ถ้าท่านไม่มีความหนักใจ, ข้าพเจ้า ขอพักอยู่ในโรงสักราตรีหนึ่ง." ช่างหม้อกล่าวว่า "กลางคืน กิจของ ข้าพเจ้าที่โรงไม่มี. โรงใหญ่, นิมนต์ท่านอยู่ตามสบายเถิด ขอรับ " ดังนี้แล้ว มอบโรงถวาย. เมื่อเธอเข้าไปนั่งแล้ว. ดาบสแม้อีกองค์หนึ่ง ชื่อนารทะมาจาก หินวันตประเทศ ได้ขอพักอยู่ราตรีหนึ่งกะนายช่างหม้อ. นายช่างหม้อ คิดว่า "ดาบสองค์มาก่อน พึงเป็นผู้อยากจะอยู่ด้วยกันกับดาบสองค์นี้ หรือไม่ (ก็ไม่ทราบ), เราจะปลีกตัวเสีย" ดังนี้แล้ว จึงกล่าวว่า " ถ้าท่านองค์เข้าไปก่อน จักพอใจไซร้, ท่านจงพักอยู่ตามความพอใจ ของดาบสองค์ก่อนเถิด ขอรับ." นารทดาบสนั้น เข้าไปหาเธอแล้ว กล่าวว่า "ท่านอาจารย์ ถ้าท่านไม่มีความหนักใจ, ผมขอพักอยู่ในโรงนี้ราตรีหนึ่งเถิด" เมื่อเธอกล่าวว่า "โรงใหญ่, ท่านจงเข้าไปอยู่ ที่ส่วนข้างหนึ่งเถิด" ดังนี้แล้ว จึงเข้าไปนั่ง ณ ที่อีกส่วนหนึ่งแห่งเธอผู้ เข้าไปก่อน. โทษของการนอนไม่เป็นที่ ดาบสแม้ทั้งสองรูป พูดปราศรัยชวนให้ระลึกถึงกันแล้ว, ใน เวลาจะนอน. นารทดาบสกำหนดที่นอนแห่งดาบสและประตูแล้วจึงนอน. ส่วนเทวลดาบสนั้น เมื่อจะนอน หาได้นอนในที่ของตนไม่. (ไพล่) นอนขวางที่กลางประตู. นารทดาบส เมื่อออกไปในราตรี ได้เหยียบที่ ชฎาของเธอ. เมื่อเธอกล่าวว่า "ใครเหยียบเรา ?" นารทดาบสกล่าวว่า " ท่านอาจารย์ ผมเอง." ท. ชฎิลโกง ท่านมาจากป่าแล้ว เหยียบที่ชฎาของเรา. น. ท่านอาจารย์ ผมไม่ทราบว่าท่านนอนที่นี้ ขอท่านจงอดโทษ แก่ผมเถิด. เมื่อเธอกำลังบ่นอยู่นั้นแล, ออกไปข้างนอกแล้ว. เทวลดาบส นอกนี้คิดว่า "ดาบสรูปนี้ แม้เข้ามาจะพึงเหยียบเรา" ดังนี้แล้ว จึงได้กลับนอนหันศีรษะไปทางเท้า. ฝ่ายนารทดาบส เมื่อจะเข้าไปคิดว่า "แม้ทีแรก เราได้ผิดแล้วใน ท่านอาจารย์, บัดนี้ เราจะเข้าไปโดยทางเท้าของท่าน" ดังนี้แล้ว เมื่อ มา ได้เหยียบที่คอแห่งเธอ, เมื่อเธอกล่าวว่า "นี่ใคร ?" จึงกล่าวว่า " ท่านอาจารย์ ผมเอง" เมื่อเธอกล่าวว่า "ชฏิลโกง ทีแรกท่าน เหยียบที่ชฎาของเราแล้ว เดี๋ยวนี้เหยียบที่คอเราอีก เราจักสาปท่าน"
จึงกล่าวว่า "ท่านอาจารย์ โทษของผมไม่มี, ผมไม่ทราบว่าท่านนอน แล้วอย่างนั้น. ผมเข้ามาด้วยคิดว่า ' แม้ทีแรกความผิดของเรามีอยู่, เดี๋ยวนี้ เราจักเข้าไปโดยทางเท้าท่าน' ดังนี้ ขอท่านจงอดโทษแก่ผมเถิด."
ดาบสทั้งสองต่างสาปกัน
ท. ชฎิลโกง เราจะสาปท่าน. น. ท่านอาจารย์ ท่านอย่าทำอย่างนี้เลย. เธอมิเอื้อเฟื้อถ้อยคำของนารทดาบสนั้น ยังขืนสาปนารทดาบสนั้น ( ด้วยคาถา ) ว่า "พระอาทิตย์ มีรัศมีตั้ง ๑,๐๐๐ มีเดชตั้ง ๑๐๐ มีปกติกำจัดความมืด, พอพระอาทิตย์ขึ้นมาใน เวลาเช้า ขอศีรษะของท่านจงแตกออก ๗ เสี่ยง." นารทดาบส กล่าวว่า " ท่านอาจารย์ โทษของผมไม่มี เมื่อ กำลังพูดอยู่ทีเดียว ท่านได้สาปแล้ว. โทษของผู้ใดมีอยู่ ขอศีรษะของ ผู้นั้นจงแตก, ของผู้ไม่มีโทษ จงอย่าแตก" ดังนี้แล้ว ได้สาป (ด้วย คาถา) ว่า " พระอาทิตย์ มีรัศมีตั้ง ๑,๐๐๐ มีเดชตั้ง ๑๐๐ มีปกติกำจัดความมืด, พอพระอาทิตย์ขึ้นมาใน เวลาเช้า ขอศีรษะของท่านจงแตกออก ๗ เสี่ยง." และนารทดาบสนั้น มีอานุภาพใหญ่ ตามระลึกชาติได้ ๘๐ กัลป์ คือ ในอดีตกาล ๔๐ กัลป์ ในอนาคตกาล ๔๐ กัลป์. เพราะเหตุนั้นท่านคิด ว่า "ความสาปจักตกในเบื้องบนแห่งใครหนอแล ?" ดังนี้ เมื่อใคร่ครวญ ไป ก็ทราบว่า "จักตกในเบื้องบนแห่งอาจารย์" อาศัยความกรุณาในเธอ จิ่งได้ห้ามอรุณขึ้นด้วยกำลังฤทธิ์." ประชาชนเดือดร้อนตลอดถึงพระราชา ชาวพระนคร เมื่ออรุณไม่ขึ้นอยู่ ก็พากันไปสู่ประตูพระราชวัง แล้วกราบทูลพิไรว่า "ข้าแต่สมมติเทพ เมื่อพระองค์ทรงครองราชสมบัติ อยู่. อรุณไม่ขึ้น, ขอพระองค์จงทรงพระกรุณาโปรดให้อรุณขึ้น เพื่อ ข้าพระองค์ทั้งหลายเถิด." พระราชา ทรงพิจารณาจริยาอนุวัตร มีกายกรรมเป็นต้น ของ พระองค์ มิได้ทรงเห็นการอันไม่สมควรอะไร ๆ จึงทรงพระดำริว่า "เหตุ อะไรหนอแล ?" ดังนี้ ทรงระแวงว่า "ชะรอยจะเป็นความวิวาทของ พวกบรรพชิต" ดังนี้แล้ว จึงตรัสถามว่า "พวกบรรพชิตในพระนครนี้ มีอยู่บ้างหรือ ?" เมื่อมีผู้กราบทูลว่า "เมื่อเวลาเย็นวานนี้ มีพวกบรรพชิต มาสู่โรงนายช่างหม้อ พระเจ้าข้า " พระราชามีราชบุรุษถือคบนำเสด็จ ไปที่นั้น ในทันใดนั้นเอง ทรงอภิวาทพระนารทดาบสแล้ว ประทับ ณ ที่ควรข้างหนึ่งตรัสถามว่า "ผู้เป็นเจ้านารทะ การงานทั้งหลายของพวก ชมพูทวีป ย่อมเป็นไปไม่ได้, โลกเกิดมืดแล้ว เพราะเหตุอะไร ท่านอันข้าพเจ้าถามแล้ว ได้ โปรดบอกเหตุนั้นแก่ข้าพเจ้า." นารทดาบส เล่าเรื่องทั้งปวงถวายเสร็จแล้ว ถวายพระพรว่า " อาตมภาพ อันดาบสรูปนี้สาปแล้วเพราะเหตุนี้, เมื่อเป็นอย่างนั้น
อาตมาภาพจึงได้กล่าวสาปบ้างว่า "โทษของข้าพเจ้าไม่มี. โทษของ ผู้ใดมี; ความสาปจงตกลงในเบื้องบนแห่งผู้นั้นแล" ก็ครั้นสาปแล้ว จึงคิดว่า "ความสาปจักตกในเบื้องบนแห่งใดหนอแล ?" เมื่อใคร่ครวญ ไปก็เห็นว่า "ในเวลาพระอาทิตย์ขึ้น ศีรษะของอาจารย์จักแตกออก ๗ เสี่ยง" ดังนี้แล้ว อาศัยความกรุณาในท่าน จึงมิให้อรุณขึ้นไป. ร. ก็อย่างไร อันตรายจะไม่พึงมีแก่ท่านเล่า ขอรับ ? น. ถ้าท่านขอโทษอาตมภาพเสีย อันตรายก็จักไม่พึงมี. ร. ถ้าอย่างนั้น ท่านจงขอโทษเสียเถิด. ท. ชฎิลนั่นเหยียบอาตมภาพ ที่ชฎาและที่คอ อาตมภาพไม่ยอม ขอโทษชฎิลโกงนั่น. ร. ขอท่านจงขอโทษเสียเถิด ขอรับ ท่านอย่าทำอย่างนี้. เทวลดาบสทูลว่า "อาตมภาพ ไม่ยอมขอโทษ" แม้เมื่อพระราชา ตรัสว่า "ศีรษะของท่านจักแตกออก ๗ เสี่ยง" ดังนี้ ก็ยังไม่ยอมขอโทษ อยู่นั่นเอง. ลำดับนั้น พระราชาตรัสกับเธอว่า "ท่านจักไม่ยอมขอโทษตาม ชอบใจของตนหรือ ?" ดังนี้แล้ว จึงรับสั่งให้ราชบุรุษจับเทวลดาบสนั้น ที่มือ ที่เท้า ที่ท้อง ที่คอ ให้ก้มลงที่บาทมูลแห่งนารทดาบส. นารทดาบสกล่าวว่า "อาจารย์ เชิญท่านลุกขึ้นเถิด, ข้าพเจ้ายอม ยกโทษให้แก่ท่าน ดังนี้แล้ว ถวายพระพรว่า "มหาบพิตร ดาบส รูปนี้หาได้ขอโทษอาตมภาพตามใจสมัครไม่, มีสระอยู่ในที่ไม่ไกลสระหนึ่ง ขอพระองค์รับสั่งให้เธอยืนทูนก้อนดินเหนียวบนศีรษะ แช่น้ำอยู่ในสระ นั้นแค่คอ. พระราชารับสั่งให้ทำอย่างนั้นแล้ว. นารทดาบสเรียกเทวลดาบส
มาว่า "ท่านอาจารย์ ครั้นฤทธิ์อันผมคลายแล้ว. เมื่อแสงพระอาทิตย์ ตั้งขึ้นอยู่, ท่านพึงดำลงเสียในน้ำแล้ว โผล่ขึ้นไปเสียโดยทางอื่น." ก้อนดินเหนียวบนศีรษะของเทวลดาบสนั้น พอรัศมีแห่งพระอาทิตย์ถูกเข้า เท่านั้น ก็แตกออก ๗ เสี่ยง, เทวลดาบสนั้น ดำลงหนีไปที่อื่นแล้ว.
เวรไม่ระงับด้วยผูกเวร
พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย พระราชาในกาลนั้น ได้เป็นอานนท์แล้ว . เทวลดาบส ได้เป็นติสสะแล้ว, นารทดาบส ได้เป็นเราเอง, ถึงในครั้งนั้น ติสสะ นี้ก็เป็นผู้ว่ายากอย่างนี้เหมือนกัน" ดังนี้แล้ว รับสั่งเรียกติสสเถระมาแล้ว ตรัสว่า "ติสสะ ก็เมื่อภิกษุคิดอยู่ว่า 'เราถูกผู้โน้นด่าแล้ว ถูกผู้โน้น ประหารแล้ว ถูกผู้โน้นชนะแล้ว ผู้โน้นได้ลักสิ่งของของเราไปแล้ว' ดังนี้ ชื่อว่าเวรย่อมไม่ระงับได้; แต่เมื่อภิกษุไม่เข้าไปผูกอยู่อย่างนั้นนั่นแล เวรย่อมระงับได้,' ดังนี้แล้ว ได้ทรงภาษิตพระคาถาเหล่านี้ว่า:-
๓. อกฺโกจฺฉิ มํ อวธิ มํ อชินิ มํ อหาสิ เม เย จ ตํ อุปนยฺยนฺติ เวรํ เตสํ น สมฺมติ.
อกฺโกจฺฉิ มํ อวธิ มํ อชินิ มํ อหาสิ เม เย จ ตํ นูปนยฺหนฺติ เวรํ เตสูปสมฺมติ. "ก็ชนเหล่าใด เข้าไปผูกความโกรธนั้นไว้ว่า 'ผู้โน้น ได้ด่าเรา ผู้โน้นได้ตีเรา ผู้โน้นได้ชนะเรา ผู้โน้น ได้ลักสิ่งของของเราแล้ว' เวรของชนเหล่านั้น ย่อมไม่ ระงับได้, ส่วนชนเหล่าใดไม่เข้าไปผูกความโกรธนั้นไว้ว่า 'ผู้โน้นได้ด่าเรา ผู้โน้นได้ติเรา ผู้โน้นได้ชนะ เราผู้โน้นได้ลักสิ่งของของเราแล้ว' เวรของชนเหล่า นั้นย่อมระงับได้." แก้อรรถ บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อกฺโกจฺฉิ คือ ด่าแล้ว. บทว่า อวธิ คือ ประหารแล้ว . บทว่า อชินิ คือ ได้ชนะเราด้วยการอ้าง พยานโกงบ้าง ด้วยการกล่าวโต้ตอบถ้อยคำบ้าง ด้วยการทำให้ยิ่งกว่าการ ทำบ้าง. บทว่า อหาสิ คือ ผู้โน้นได้ลักของคือบรรดาวัตถุทั้งหลายมีผ้า เป็นต้น สิ่งใดสิ่งหนึ่งของเรา. สองบทว่า เย จ ตํ เป็นต้น ความว่า ชนเหล่าใดเหล่าหนึ่ง คือ เทพดาหรือมนุษย์ คฤหัสถ์หรือบรรพชิต เข้าไปผูกความโกรธนั้น คือมีวัตถุเป็นต้นว่า "คนโน้นได้ด่าเรา" ดุจพวกคนขับเกวียน ขันทุบ เกวียนด้วยชะเนาะ และดุจพวกประมง พันสิ่งของมีปลาเน่า เป็นต้น ด้วยวัตถุมีหญ้าคาเป็นต้น บ่อยๆ, เวรของพวกเขาเกิดขึ้นแล้ว คราวเดียว ย่อมไม่ระงับ คือว่าย่อมไม่สงบลงได้. บาทพระคาถาว่า เย จ ตํ นูปนยฺหติ ความว่า ชนเหล่าใด ไม่เข้าไปผูกความโกรธนั้น คือมีคำดำเป็นต้นเป็นที่ตั้ง ด้วยอำนาจการ ไม่ระลึกถึงและการไม่ทำไว้ในใจบ้าง ด้วยอำนาจการพิจารณาเห็นกรรม อย่างนี้ว่า "ใคร ๆ ผู้หาโทษมิได้ แม้ท่านคงจักด่าแล้วในภพก่อน คงจักประหารแล้ว (ในภพก่อน ) คงจักเบิกพยานโกงชนะแล้ว (ใน ภพก่อน) สิ่งของอะไรๆ ของใครๆ ท่านคงจักข่มแหงชิงเอาแล้ว (ในภพก่อน). เพราะฉะนั้น ท่านแม้เป็นผู้ไม่มีโทษ จึงได้ผลที่ไม่น่า ปรารถนา มีคำด่าเป็นต้น" ดังนี้บ้าง, เวรของชนเหล่านั้น แม้เกิด แล้วเพราะความประมาท ย่อมสงบได้ด้วยการไม่ผูก (โกรธ ) นี้ ดุจ ไฟไม่มีเธอเกิดขึ้นแล้วดับไปฉะนั้นแล. ในกาลจบเทศนา ภิกษุแสนหนึ่ง ได้บรรลุอริยผลทั้งหลายมี โสดาปัตติผลเป็นต้น. พระธรรมเทศนาได้เป็นกถามีประโยชน์แก่มหาชน แล้ว. พระติสสเถระ ถึงเป็นคนว่ายาก ก็กลายเป็นคนว่าง่ายแล้วดังนี้แล.
เรื่องพระติสสเถระ จบ.
No comments:
Write comments