เรื่องนางปริพาชิกาชื่อสุนทรี
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภนางปริพาชิกาชื่อสุนทรี ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า อภตวาที เป็นต้น
เมื่อผู้คนที่หันมานับถือพระศาสดามีจำนวนเพิ่มมากขึ้นๆ พวกอัญญเดียรถีร์(ผู้ถือศาสนาอื่น)พบว่าศาสนิกชนของฝ่ายตนได้ลดจำนวนลงเรื่อยๆ ดังนั้น พวกอัญญเดียรถีย์จึงมีความอิจฉาริษยาในพระศาสดา และพวกเขายังกลัวด้วยว่าสถานการณ์คงจะเลวร้ายลงเรื่อยๆหากว่าพวกเขาไม่ทำอะไรสักอย่างเพื่อทำลายชื่อเสียงและเกียรติภูมิของพระศาสดา เพราะฉะนั้น พวกเขาจึงส่งคนไปเชิญนางสุนทรีปริพาชิกามาพบและปรึกษากับนางให้ใช้ความงามและความฉลาดของนางเป็นเครื่องมือกล่าวโทษเพื่อทำลายชื่อเสียงและเกียรติภูมิของพระสมณโคดม ทำให้มหาชนหลงเชื่อ ก็จะมีผลทำลายลาภสักการะของพระสมณโคดมได้ในที่สุด
นางสุนทรีเข้าใจสิ่งที่พวกอัญญเดียรถีย์คาดหวังจากนางเป็นอย่างดี ดังนั้น ในตอนเย็น นางก็จะทำทีเดินมุ่งหน้าไปทางวัดพระเชตวัน เมื่อมีใครถามว่านางจะไปไหน นางก็จะตอบว่า “ฉันกำลังจะไปสำนักพระสมณโคดม ฉันจะอยู่ในพระคันธกุฏีเดียวกันกับพระสมณโคดมทั้งคืน” หลังจากนั้น นางก็จะไปพักอยู่ที่สำนักของพวกอัญญเดียรถีย์ พอถึงรุ่งเช้าในวันรุ่งขึ้น นางก็ทำทีว่าจะเดินกลับบ้าน และหากมีใครถามว่าไปไหนมา นางก็จะตอบว่า “ฉันเพิ่งกลับจากพระคันธุฎี หลังจากที่เมื่อคืนนี้ได้ไปมีความสุขทางเพศกับพระสมณโคดมมา” นางทำอยู่อย่างนี้เป็นเวลา 2 -3 วัน พอในวันที่ 4 พวกอัญญเดียรถีย์ก็ได้ไปจ้างพวกนักเลงให้ทำการสังหารชีวิตนางสุนทรีแล้วหมกศพของนางไว้ที่กองขยะดอกไม้ใกล้วัดพระเชตวัน ในวันรุ่งขึ้น พวกอัญญเดียรถีย์ก็ได้ปล่อยข่าวว่านางสุนทรีปริพาชิกาหายตัวไป และได้นำความขึ้นกราบทูลพระราชาพร้อมแจ้งเบาะแสว่านางไปที่วัดพระเชตะวันในช่วง 3 วันที่ผ่านมา พระราชาทรงอนุญาตให้ทำการตรวจค้นตามที่ต่างๆได้ตามที่ต้องการ เมื่อคนของพวกอัญญเดียรถีย์ออกไปค้นหาก็ได้พบศพของนางสุนทรีหมกอยู่ในกองขยะดอกไม้ใกล้วัดพระเชตวัน จึงได้นำศพนางไปที่พระราชวัง แล้วกราบทูลพระราชาว่า สาวกของพระสมณโคดมเป็นผู้ฆ่านางสุนทรี เพื่อปกปิดเรื่องที่นางมีเพศสัมพันธ์กับพระสมณโคดม พระราชาตรัสตอบว่า หากเป็นเช่นนั้นก็ขอให้แห่ศพนางไปประจานให้ผู้คนทั้งหลายได้รู้โดยทั่วกัน ดังนั้น พวกอัญญเดียรถีย์ก็จึงแห่ศพไปประจานตามที่ต่างๆจนทั่วเมือง โดยได้ประกาศว่า “ขอท่านทั้งหลาย จงดูการกระทำของพวกสมณสักยบุตรเถิด” จากนั้นก็เที่ยวชี้หน้าด่าว่าพระภิกษุที่พวกตนพบในเมืองบ้าง นอกเมืองบ้าง ในป่าบ้าง ภิกษุทั้งหลายได้นำความนี้ขึ้นกราบทูลพระศาสดา พระศาสดาตรัสว่า “ถ้าอย่างนั้น แม้พวกเธอก็จงกล่าวคำเหล่านี้พูดตอบโต้คนเหล่านั้นบ้าง”
จากนั้น พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถานี้ว่า
อภูตวาที นิรยํ อุเปติ
โย วาปิ กตฺวา น กโรมิจฺจาห
อุโภปิ เต เปจฺจ สมา ภวนฺติ
นิหีนกมฺมา มนุชา ปรตฺถ ฯ
ผู้มักพูดไม่จริง ย่อมเข้าถึงนรก
หรือแม้ผู้ใดทำแล้ว กล่าวว่า ข้าพเจ้ามิได้ทำ
ชนแม้ทั้งสองนั้น เป็นมนุษย์มีกรรมเลวทราม
ละไปในโลกอื่นแล้ว ย่อมเป็นผู้เสมอกัน.
เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง ชนเป็นอันมาก บรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น.
ต่อมา พระราชาทรงส่งราชบุรุษออกติดตามหาตัวฆาตกรที่สังหารโหดนางสุนทรี เมื่อทำการสืบสวนในทางลับแล้ว ก็พบว่าพวกฆาตรกรที่สังหารนางสุนทรีคือพวกนักเลงสุรา เมื่อทำการจับกุมนักเลงสุราเหล่านี้แล้วก็ได้ตัวไปถวายพระราชา เมื่อถูกสอบสวนพวกเขาก็ได้รับสารภาพว่าถูกว่าจ้างโดยพวกอัญญเดียรถีย์ให้ฆ่านางสุนทรีแล้วนำศพของนางไปซุกไว้ที่กองขยะดอกไม้ใกล้วัดพระเชตวัน พระราชาจึงมีรับสั่งให้พวกฆาตกรเหล่านี้ตระเวนไปร้องป่าวประกาศจนทั่วเมืองว่า “นางสุนทรีนี้ ถูกพวกข้าพเจ้าผู้ใคร่จะใส่ร้ายพระสมณโคดมฆ่า โทษของพระสาวกของพระสมณโคดมไม่มี เป็นโทษของพวกข้าพเจ้าฝ่ายเดียว” ผู้คนที่เคยหลงเชื่อต่างก็ได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง ทั้งพวกเดียรถีย์และพวกฆาตกรต่างได้รับโทษทัณฑ์ทางอาญาในข้อหาฆ่าคน จำเดิมแต่นั้นมา เกียรติภูมิและลาภสักการะของพระศาสดาและพระสาวกทั้งหลายยิ่งเพิ่มพูนมากขึ้นกว่าเก่า.
No comments:
Write comments